ตะลิงปลิง เป็นพืชสมุนไพรจำพวกไม้ยืนต้นที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆเช่นภาคใต้เรียกว่าหลิงปริง หรือกะลิงปริง ส่วนชาวมลายูเรียก บลีมิงเป็นต้น
ซึ่งต้นตะลิงปลิงนั้นเป็นพืชอยู่ในวงศ์เดียวกับมะเฟือง ตะลิงปลิงนั้นจะมีผลเล็กกว่ามะเฟืองอย่างชัดเจน โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลของประเทศบราซิล เป็นพืชสมุนไพรที่นิยมปลูกกัน เนื่องจากลำต้นมีความสวยงาม และต้นตะลิงปลิงนั้นเป็นพืชที่อยู่ในเขตร้อนเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกเลี้ยงง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย เพราะระบายน้ำได้ดี แต่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง และขยายพันธุ์ได้จากการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง แต่การเพาะเมล็ดจะได้ต้นที่สูงใหญ่กว่าการตอนกิ่ง มันเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากที่สุดในโลก
ตะลิงปลิงหรือผลไม้รูปดาวตอนตัดขวางนี้ มีรสเปรี้ยวและเป็นแหล่งรวมของวิตามินซีและบี สารต้านอนุมูลอิสระ ฟอสฟอรัสและธาตุเหล็กแม้ว่าตะลิงปลิงจะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าผลไม้เขตร้อนอื่นๆแต่รู้ไหมว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่คุณสมควรกิน
ประโยชน์ของตะลิงปลิง
1. รักษาอาการไอ
ผสมตะลิงปลิงกับเม็ดยี่หร่าซัก 2 3 เม็ดและน้ำตาล ต้มทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง และแบ่งน้ำเป็น 2 ช่วงเวลา ดื่มครึ่งหนึ่งก่อนอาหารเช้า และอีกครึ่งหนึ่งในช่วงเย็น
2. รักษาโรคเบาหวาน
ตะลิงปิงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ให้นำเมล็ดข้าวบด 6 เม็ด ผสมกับตะลิงปลิงและน้ำ 1 แก้ว จากนั้นนำไปต้มจนเดือด กินเครื่องดื่มนี้วันละ 2 ครั้ง
3. รักษาสิว
ตะลิงปลิงมีสารที่เป็นกรดซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับรักษาสิว เพียงแค่ใช้ตะลิงปลิงบด ทาบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4. รักษาโรครูมาติซึม
ตะลิงปลิงสามารถรักษาอาการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่เป็นกรด ซึ่งสามารถช่วยรักษาอาการปวดข้อได้เป็นอย่างดี เพียงแค่พอกตะลิงปลิงบทลงในบริเวณที่ได้รับ ผลกระทบ
5. โรคไขข้ออักเสบ
เพื่อบรรเทาอาการปวดไขข้อ ให้คุณนำใบตะลิงปลิงประมาณ 1 กำมือ นำมาบดรวมกับเมล็ดข้าว พร้อมกับใส่น้ำสักเล็กน้อย แล้วจึงนำไปพอกไว้บริเวณที่เจ็บปวด วันละ 2-3 ครั้งทุกวัน
6. รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ให้คุณนำใบตะลิงปลิง 1 กำมือ บดรวมกับกระเทียม 10 กลีบ พริกไทย 15 เม็ด และเมล็ดตะลิงปลิง 1 เมล็ด นำส่วนผสมนี้พอกทิ้งไว้ บริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ
7. รักษาอาการปวดฟัน
ใช้เพียงผลตะลิงปลิงบดในบริเวณฟันที่ปวด จึงจะช่วยบรรเทาอาการปวด ให้ผลได้ดีกว่ายาแก้ปวดที่ขายตามร้านขายยาเสียอีก
การ์ตูนโรแมนติก
10 อันดับสัตว์มีพิษ
10 อันดับสัตว์มีพิษ
อันดับที่ 10 ทากทะเล
ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด
อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)
มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์
อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้
อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)
เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์พิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้
ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง
เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชนั้นลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น
อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)
บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที
อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)
สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว
อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)
สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง
อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)
นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป
อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus)
มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก
อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)
มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ
อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)
สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui) ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน
*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin) เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***
อันดับที่ 10 ทากทะเล
ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด
อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)
มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์
อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้
อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)
เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์พิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้
ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง
เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชนั้นลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น
อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)
บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที
อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)
สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว
อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)
สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง
อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)
นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป
อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus)
มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก
อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)
มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ
อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)
สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui) ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน
*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin) เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***
ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)
ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย
กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน
ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน
ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์
มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว
ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน
ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์
จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน
ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา
แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่
ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก
จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส
จิ๋นซีฮ่องเต้แต่งตั่งให้นายพลเม้งเทียน นายทหารผู้แข็งขันและมากด้วยความสำเร็จรับผิดชอบการสร้างกำแพง เพื่อจะแบ่งแยกผู้คนที่มีอารยธรรมจากพวกคนเถื่อน และปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่พื้นที่ว่างเปล่าทางเหนือ กำแพงเริ่มต้นตั้งแต่ทะเลเหลืองทางตะวันออกไปจนถึงทะเลทรายโกบีทางตะวันตก มันต้องมีความสูง 24 ฟุต และมีความกว้างมากพอที่นายทหาร 8 นายจะเดินเรียงหน้ากระดานได้ กำแพงต้องสร้างตามลักษณะภูมิประเทศตราบเท่าที่เป็นได้และต้องไม่สร้างเป็นเส้นตรง เพราะเชื่อว่าปีศาจเดินทางได้เป็นเส้นตรงเท่านั้น เทคนิคการสร้างกำแพงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละที่ และมีกำแพงของจิ๋นซีฮ่องเต้เหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกสร้างอย่างไร กระนั้นนักวิชาการเชื่อว่ามันถูกใช้เป็นแนวไว้สำหรับสร้างเพิ่มเติมตามรากฐานของมัน
นายพลเม้งเทียนเริ่มด้วยการสร้างหอคอยก่อน โดยสร้างจากอิฐและหินโดยมีฐานเป็นเศษหิน หอคอยเหล่านี้สูงประมาณ 40 ฟุต มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 40 ฟุต เมื่อสร้างหอคอยเสร็จแล้วมันจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกำแพงหิน เพื่อป้องกันผู้รุกรานและปีศาจร้าย ป้อมปราการที่ใหญ่พอที่จะบรรจุทหารได้หลายร้อยนายถูกจัดวางอยู่ในระยะธนู 2 ดอก เพื่อให้สามารถคุ้มกันพื้นที่ระหว่างนี้ได้ หอคอยโผล่ออกมาจากกำแพงเหมือนป้อมปืน ดังนั้นฝ่ายป้องกันสามารถยิงใส่ผู้รุกรานได้ตลอดแนวกำแพง มีการประมาณว่าชาวแคว้นฉินภายใต้การดูแลของนายพลเม้งเทียน ก่อสร้างกำแพงใหม่หลายร้อยไมล์ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างเพิ่มจากของเดิมที่แคว้นอื่นทำไว้แล้วรวมกับของใหม่ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการเชื่อมกำแพงรุ่นก่อนๆที่สร้างในสมัยสงครามระหว่างแคว้น พวกเขาใช้เทคนิคการบดอัดดิน เป็นเทคนิคเดียวที่พวกเขารู้จัก ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างจากกำแพงในยุคนีโอลีธิกส์เลย เพียงแต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง
ในภูเขาทางทิศตะวันออก ดินแห้งถูกนำมาถมระหว่างกำแพงหินหรืออิฐจนได้ระดับที่แน่นพอเพียง จากนั้นหินหรืออิฐจะถูกนำมาเรียงทับหน้าเพื่อป้องกันฝนชะล้างและใช้เป็นถนน ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหินตะกอนละเอียดที่เรียกว่าดินเหลือง คนงานจะเทดินที่ผสมกับน้ำลงในพิมพ์ไม้แล้วนำไปก่อเป็นโครงสร้างให้แข็งแรงเมื่อมันแห้งแล้ว บนพื้นที่แห้งแล้งของที่ราบฝั่งตะวันตก กำแพงถูกสร้างจากใบต้นปาล์ม ต้นกก แสม กับกรวดและโคลน ไปจนสิ้นสุดที่ริมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เลยไปจากนั้นเป็นดินแดนที่สิงสถิตย์ของวิญญาณร้าย นายพลเม้งเทียนสร้างกำแพงเหล่านี้เสร็จภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี หรือเสร็จก่อน 210 ปีก่อนคริสกาล แต่เรื่องราวที่คาดการณ์เกี่ยวกับมูลค่าของมันในแง่ความทุกข์ทรมานและชีวิตที่สูญเสีย เรื่มแพร่กระจายออกไปแล้ว
แรงงานจำนวนมากมาจากการเกณฑ์ชาวนาผสมกับนักโทษ ทหารที่ถูกจับได้ ขุนนางตกยาก นักปราชญ์ และคนอื่นๆที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของอาณาจักร เป็นที่กล่าวกันว่าทุกๆสิบคนที่ถูกเกณฑ์มา มีเพียงสามคนรอดกลับบ้าน จักรพรรดิมีคำสั่งอีกว่า ใครก็ตามที่แอบหลับจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไว้บนกำแพงนั่นเอง ความทรงจำอันแพร่หลายของการสร้างกำแพงก็คือ ชาวนาถูกกวาดต้อนมาทำงานแล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย โดยถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนเสียชีวิตในผืนป่าที่ห่างไกล มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมีเรื่องเล่าว่า ศพของชาวนาถูกโยนทิ้งลงไปในช่องว่างระหว่างกำแพง ซึ่งเป็นที่ใส่เศษหิน ความเลวร้ายนี้ถูกระบายออกมาผ่านบทกวีมากมาย ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือตำนานของคุณนายเม็ง หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กๆเรียนในช่วงยี่สิบปีแรกของการปกครองระบบสังคมนิยม เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งตามหาสามีของเธอที่ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปเป็นแรงงานทาสที่กำแพงนั่น แล้วเธอก็พบว่าเขาตายแล้วและอาจจะถูกฝังอยู่ในกำแพงเหมือนกับหลายๆคน ดังนั้นกำแพงจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของความกดขี่ของระบอบขุนนาง ซึ่งถูกสร้างโดยหยาดเหงื่อของคนธรรมดาภายใต้การทารุณของทรราชย์ ขณะที่ในตอนนี้กำแพงนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ความยั่งยืนของอารยธรรมของมัน เป็นการแสดงพลังอำนาจ ประวัติศาสตร์
เมื่อการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด หนึ่งในโหรของจักรพรรดิกล่าวว่า กำแพงจะไม่มีวันเสร็จ ถ้าไม่มีการฝังคนหนึ่งหมื่นคนทั้งเป็นในนั้น จักรพรรดิรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจเสียคนขนาดนั้นได้ จิ๋นซีฮ่องเต้แก้ปัญหาด้วยการหาชายคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเขามีตัวอักษรที่มีความหมายว่าหนึ่งหมื่นมาฝังไว้ในกำแพงแทน ประมาณกันว่ามีคนงานสร้างกำแพงหนึ่งล้านคนระหว่างการทำงานที่ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้เสียชีวิตมากมายจากภูมิอากาศ ความเหนื่อยล้า และความอดอยาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าศพของพวกเขาถูกฝังตรงที่เสียชีวิตอยู่ในสุสานยาวที่สุดในโลกตลอดกาล หลังจากรวมประเทศจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียวไม่ทันถึงสิบปี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก โครงการสาธารณะเช่น คลอง ถนน และระบบเกษตรกรรม ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ขณะนี้เมื่อมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงประกาศว่าไม่มีใครจะเอาชนะอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ
แม้ขณะที่กำแพงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จิ๋นซีฮ่องเต้ยังคงถลำลึกลงไปในเรื่องไสยศาสตร์และความวิปลาส สองร้อยสิบสามปีก่อนคริสกาล พระองค์ตัดสินพระทัยว่าประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นที่พระองค์และสั่งให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด ใครที่พบว่ามีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครองหลังการประกาศจะถูกส่งไปใช้แรงงานสร้างกำแพง หรือถูกฝังทั้งเป็น ประมาณการว่านักปราชญ์ 460 คนเสียชีวิต เมื่อบุตรชายองค์โตและเป็นรัชทายาทของพระจักรพรรดิคัดค้านนโยบายนี้ เขาก็ถูกเนรเทศให้ไปช่วยงานนายพลเม้งเทียนทางเหนือ ขณะที่จักรพรรดิมีพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น ความลุ่มหลงกับความตายของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าพระองค์เข้าเยี่ยมชมการก่อสร้างกำแพงของพระองค์เพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าพระองค์ออกเดินทางค้นหายาที่จะทำให้เป็นอมตะถึง 5 ครั้ง แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อมีอายุได้ 49 พรรษา ในการเดินทางครั้งหนึ่ง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์อาจเกิดจากยาที่มีสารอันตรายอย่างตะกั่วหรือสารหนูที่พระองค์เสวยเข้าไปเพื่อเสาะหาชีวิตอมตะ
ราชวงค์ของพระองค์ล่มสลายด้วยน้ำมือของบุตรชายคนที่สองที่ชื่อ อู๋ไห่ การที่รัชทายาทอันชอบธรรมอยู่ระหว่างการถูกเนรเทศ ทำให้อู๋ไห่ขึ้นครองราชย์อาณาจักรฉิน พร้อมความเจ้าเล่ห์ โหดร้ายที่เหมือนพระบิดา แต่ขาดซึ่งความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำแบบจิ๋นซี เขาสั่งขังที่ปรึกษาทั้งหมดของพระบิดา รวมทั้งนายพลเม้งเทียน ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหลังจากไตร่ตรองความโชคร้ายของตนและกล่าวว่า เขาสมควรตาย เพราะเขาละเมิดชี่ อันเป็นการไหลของพลังงานโลกด้วยการก่อสร้างกำแพงที่ละเมิดพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่ธรรมชาติอื่นๆ อู๋ไห่ครองราชย์ได้เพียงสี่ปี ก่อนที่ฝ่ายกบฏจะล้มล้างเขา และประเทศจีนกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ราชวงค์อันยิ่งใหญ่ที่หวังจะได้อยู่ตลอดกาล กลับได้อยู่เพียง 15 ปี นับเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดที่เคยปกครองจีน
กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน
ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน
ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์
มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว
ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน
ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์
จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน
ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา
แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่
ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก
จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส
จิ๋นซีฮ่องเต้แต่งตั่งให้นายพลเม้งเทียน นายทหารผู้แข็งขันและมากด้วยความสำเร็จรับผิดชอบการสร้างกำแพง เพื่อจะแบ่งแยกผู้คนที่มีอารยธรรมจากพวกคนเถื่อน และปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่พื้นที่ว่างเปล่าทางเหนือ กำแพงเริ่มต้นตั้งแต่ทะเลเหลืองทางตะวันออกไปจนถึงทะเลทรายโกบีทางตะวันตก มันต้องมีความสูง 24 ฟุต และมีความกว้างมากพอที่นายทหาร 8 นายจะเดินเรียงหน้ากระดานได้ กำแพงต้องสร้างตามลักษณะภูมิประเทศตราบเท่าที่เป็นได้และต้องไม่สร้างเป็นเส้นตรง เพราะเชื่อว่าปีศาจเดินทางได้เป็นเส้นตรงเท่านั้น เทคนิคการสร้างกำแพงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละที่ และมีกำแพงของจิ๋นซีฮ่องเต้เหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกสร้างอย่างไร กระนั้นนักวิชาการเชื่อว่ามันถูกใช้เป็นแนวไว้สำหรับสร้างเพิ่มเติมตามรากฐานของมัน
นายพลเม้งเทียนเริ่มด้วยการสร้างหอคอยก่อน โดยสร้างจากอิฐและหินโดยมีฐานเป็นเศษหิน หอคอยเหล่านี้สูงประมาณ 40 ฟุต มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 40 ฟุต เมื่อสร้างหอคอยเสร็จแล้วมันจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกำแพงหิน เพื่อป้องกันผู้รุกรานและปีศาจร้าย ป้อมปราการที่ใหญ่พอที่จะบรรจุทหารได้หลายร้อยนายถูกจัดวางอยู่ในระยะธนู 2 ดอก เพื่อให้สามารถคุ้มกันพื้นที่ระหว่างนี้ได้ หอคอยโผล่ออกมาจากกำแพงเหมือนป้อมปืน ดังนั้นฝ่ายป้องกันสามารถยิงใส่ผู้รุกรานได้ตลอดแนวกำแพง มีการประมาณว่าชาวแคว้นฉินภายใต้การดูแลของนายพลเม้งเทียน ก่อสร้างกำแพงใหม่หลายร้อยไมล์ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างเพิ่มจากของเดิมที่แคว้นอื่นทำไว้แล้วรวมกับของใหม่ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการเชื่อมกำแพงรุ่นก่อนๆที่สร้างในสมัยสงครามระหว่างแคว้น พวกเขาใช้เทคนิคการบดอัดดิน เป็นเทคนิคเดียวที่พวกเขารู้จัก ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างจากกำแพงในยุคนีโอลีธิกส์เลย เพียงแต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง
ในภูเขาทางทิศตะวันออก ดินแห้งถูกนำมาถมระหว่างกำแพงหินหรืออิฐจนได้ระดับที่แน่นพอเพียง จากนั้นหินหรืออิฐจะถูกนำมาเรียงทับหน้าเพื่อป้องกันฝนชะล้างและใช้เป็นถนน ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหินตะกอนละเอียดที่เรียกว่าดินเหลือง คนงานจะเทดินที่ผสมกับน้ำลงในพิมพ์ไม้แล้วนำไปก่อเป็นโครงสร้างให้แข็งแรงเมื่อมันแห้งแล้ว บนพื้นที่แห้งแล้งของที่ราบฝั่งตะวันตก กำแพงถูกสร้างจากใบต้นปาล์ม ต้นกก แสม กับกรวดและโคลน ไปจนสิ้นสุดที่ริมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เลยไปจากนั้นเป็นดินแดนที่สิงสถิตย์ของวิญญาณร้าย นายพลเม้งเทียนสร้างกำแพงเหล่านี้เสร็จภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี หรือเสร็จก่อน 210 ปีก่อนคริสกาล แต่เรื่องราวที่คาดการณ์เกี่ยวกับมูลค่าของมันในแง่ความทุกข์ทรมานและชีวิตที่สูญเสีย เรื่มแพร่กระจายออกไปแล้ว
แรงงานจำนวนมากมาจากการเกณฑ์ชาวนาผสมกับนักโทษ ทหารที่ถูกจับได้ ขุนนางตกยาก นักปราชญ์ และคนอื่นๆที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของอาณาจักร เป็นที่กล่าวกันว่าทุกๆสิบคนที่ถูกเกณฑ์มา มีเพียงสามคนรอดกลับบ้าน จักรพรรดิมีคำสั่งอีกว่า ใครก็ตามที่แอบหลับจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไว้บนกำแพงนั่นเอง ความทรงจำอันแพร่หลายของการสร้างกำแพงก็คือ ชาวนาถูกกวาดต้อนมาทำงานแล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย โดยถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนเสียชีวิตในผืนป่าที่ห่างไกล มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมีเรื่องเล่าว่า ศพของชาวนาถูกโยนทิ้งลงไปในช่องว่างระหว่างกำแพง ซึ่งเป็นที่ใส่เศษหิน ความเลวร้ายนี้ถูกระบายออกมาผ่านบทกวีมากมาย ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือตำนานของคุณนายเม็ง หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กๆเรียนในช่วงยี่สิบปีแรกของการปกครองระบบสังคมนิยม เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งตามหาสามีของเธอที่ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปเป็นแรงงานทาสที่กำแพงนั่น แล้วเธอก็พบว่าเขาตายแล้วและอาจจะถูกฝังอยู่ในกำแพงเหมือนกับหลายๆคน ดังนั้นกำแพงจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของความกดขี่ของระบอบขุนนาง ซึ่งถูกสร้างโดยหยาดเหงื่อของคนธรรมดาภายใต้การทารุณของทรราชย์ ขณะที่ในตอนนี้กำแพงนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ความยั่งยืนของอารยธรรมของมัน เป็นการแสดงพลังอำนาจ ประวัติศาสตร์
เมื่อการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด หนึ่งในโหรของจักรพรรดิกล่าวว่า กำแพงจะไม่มีวันเสร็จ ถ้าไม่มีการฝังคนหนึ่งหมื่นคนทั้งเป็นในนั้น จักรพรรดิรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจเสียคนขนาดนั้นได้ จิ๋นซีฮ่องเต้แก้ปัญหาด้วยการหาชายคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเขามีตัวอักษรที่มีความหมายว่าหนึ่งหมื่นมาฝังไว้ในกำแพงแทน ประมาณกันว่ามีคนงานสร้างกำแพงหนึ่งล้านคนระหว่างการทำงานที่ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้เสียชีวิตมากมายจากภูมิอากาศ ความเหนื่อยล้า และความอดอยาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าศพของพวกเขาถูกฝังตรงที่เสียชีวิตอยู่ในสุสานยาวที่สุดในโลกตลอดกาล หลังจากรวมประเทศจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียวไม่ทันถึงสิบปี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก โครงการสาธารณะเช่น คลอง ถนน และระบบเกษตรกรรม ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ขณะนี้เมื่อมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงประกาศว่าไม่มีใครจะเอาชนะอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ
แม้ขณะที่กำแพงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จิ๋นซีฮ่องเต้ยังคงถลำลึกลงไปในเรื่องไสยศาสตร์และความวิปลาส สองร้อยสิบสามปีก่อนคริสกาล พระองค์ตัดสินพระทัยว่าประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นที่พระองค์และสั่งให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด ใครที่พบว่ามีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครองหลังการประกาศจะถูกส่งไปใช้แรงงานสร้างกำแพง หรือถูกฝังทั้งเป็น ประมาณการว่านักปราชญ์ 460 คนเสียชีวิต เมื่อบุตรชายองค์โตและเป็นรัชทายาทของพระจักรพรรดิคัดค้านนโยบายนี้ เขาก็ถูกเนรเทศให้ไปช่วยงานนายพลเม้งเทียนทางเหนือ ขณะที่จักรพรรดิมีพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น ความลุ่มหลงกับความตายของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าพระองค์เข้าเยี่ยมชมการก่อสร้างกำแพงของพระองค์เพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าพระองค์ออกเดินทางค้นหายาที่จะทำให้เป็นอมตะถึง 5 ครั้ง แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อมีอายุได้ 49 พรรษา ในการเดินทางครั้งหนึ่ง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์อาจเกิดจากยาที่มีสารอันตรายอย่างตะกั่วหรือสารหนูที่พระองค์เสวยเข้าไปเพื่อเสาะหาชีวิตอมตะ
ราชวงค์ของพระองค์ล่มสลายด้วยน้ำมือของบุตรชายคนที่สองที่ชื่อ อู๋ไห่ การที่รัชทายาทอันชอบธรรมอยู่ระหว่างการถูกเนรเทศ ทำให้อู๋ไห่ขึ้นครองราชย์อาณาจักรฉิน พร้อมความเจ้าเล่ห์ โหดร้ายที่เหมือนพระบิดา แต่ขาดซึ่งความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำแบบจิ๋นซี เขาสั่งขังที่ปรึกษาทั้งหมดของพระบิดา รวมทั้งนายพลเม้งเทียน ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหลังจากไตร่ตรองความโชคร้ายของตนและกล่าวว่า เขาสมควรตาย เพราะเขาละเมิดชี่ อันเป็นการไหลของพลังงานโลกด้วยการก่อสร้างกำแพงที่ละเมิดพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่ธรรมชาติอื่นๆ อู๋ไห่ครองราชย์ได้เพียงสี่ปี ก่อนที่ฝ่ายกบฏจะล้มล้างเขา และประเทศจีนกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ราชวงค์อันยิ่งใหญ่ที่หวังจะได้อยู่ตลอดกาล กลับได้อยู่เพียง 15 ปี นับเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดที่เคยปกครองจีน
กำเนิดเอกภพ
เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้า คุณเคยสงสัยมั้ยว่า ดวงดาวที่กระพริบระยิบระยับเหล่านั้น อยู่ห่างไกลจากเราเพียงไหน ในสมัยกรีก เราเคยเชื่อว่าโลกแบนและคิดว่าโลกเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งในจักรวาล มีดวงดาวและดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปรอบๆโลก จนกระทั่งนิโคลัส โคเปอร์นิคัสค้นพบว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ โลกและดาวเคราะห์ล้วนโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม เมื่อกาลิเลโอ กาลิเลอี ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ได้สำเร็จ เราจึงสามารถสังเกตการณ์วัตถุต่างๆ บนท้องฟ้าได้ และค้นพบสิ่งแปลกใหม่อีกมากมาย รวมถึงดวงจันทร์สี่ดวงที่โคจรรอบๆ ดาวพฤหัสบดี ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โจฮันนส์ เคปเลอร์ ก็ได้ค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ที่บอกว่าพื้นที่สามเหลี่ยมจากดาวเคราะห์ไปยังดวงอาทิตย์ในเวลาที่เท่ากันจะมีพื้นที่เท่ากัน จากนั้นปริศนาแห่งจักรวาลก็ค่อยๆคลี่คลายขึ้นทีละน้อย เมื่อเซอร์ไอแซค นิวตัน ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงและการเคลื่อนที่ของวัตถุ เพราะนั่นคือคำอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ บนโลกและการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของดาวเคราะห์ได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ เอ็ดมัน แฮลลีย์ เป็นผู้สำรวจพบว่า ดาวหางดวงหนึ่งโคจรมาให้ชาวโลกเห็นทุกๆ 75 ปี เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ศึกษาพบว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง เมื่อแสงเข้าใกล้วัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงและทุกสิ่งในเอกภพเคลื่อนที่ไปไม่หยุดนิ่ง เขาจึงได้ค้นพบสมการที่ไขปริศนาความลับการเปลี่ยนแปลงระหว่างสสารกับพลังงาน นั่นคือ E=mc2 เอ็ดวิน ฮับเบิ้ล ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการขยายตัวของเอกภพที่เราเรียกกันว่า ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang Theory) เพราะเขาสังเกตเห็นว่ากาแล็คซี่ทั้งหลายเคลื่อนตัวหนีห่างจากกันและกัน จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 สตีเฟน ฮอว์คิง จึงได้นำทฤษฎีพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนมาอธิบายความเป็นไปในจักรวาล ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการระเบิดใหญ่ที่ทำให้เอกภพนี้ถือกำเนิดขึ้น การระเบิดใหญ่ที่เรารู้จักกันในชื่อว่าบิ๊กแบง
เอกภพของเรามีขนาดมหึมาและรวมทุกสิ่งทุกอย่างในอวกาศเอาไว้ ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์และกาแล็คซี่จำนวนมาก ระยะทางอันแสนไกลในอวกาศสามารถระบุได้ด้วยอัตราเร็วของแสง เนื่องจากแสงเดินทางได้เร็วที่สุดเกือบ 3 แสนกิโลเมตร ในหนึ่งวินาที แม้ดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร แต่แสงก็ใช้เวลาเดินทางเพียง 8 นาทีเท่านั้น ในระยะเวลา 1 ปี แสงจะเดินทางได้ 9ล้าน 5 แสนล้าน กิโลเมตร เราเรียกระยะทางนี้ว่า 1 ปีแสง ระบบสุริยะของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบรวมกับกาแล็คซี่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเอกภพ โดยกาแล็คซี่ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เราที่สุดอยู่ห่างจากโลกถึงสองล้านปีแสง นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเอกภพของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันล้านปีถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว โดยการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบง
เอกภพอุบัติขึ้นจากพลังงานมหาศาล ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากประมาณ สิบยกกำลังสามสิบสององศาเคลวิน แต่มีขนาดเล็กเป็นจุดเล็กๆ ที่รวบรวมสสารและพลังงานทั้งเอกภพหลังจากเกิดบิ๊กแบง ในตอนแรกเอกภพอยู่ในรูปของพลังงาน เนื่องจากสสารและตัวต้านสสารทำลายล้างกันได้เช่นเดียวกับพลังงาน โชคดีสำหรับเราที่สสารเป็นฝ่ายชนะทำให้เอกภพของเรามีสสารมากมาย เอกภพทั้งหมดซึ่งมีสสารและพลังงานได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับลดอุณหภูมิลง เอกภพจึงมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีอุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ เหลือ 3,000 องศาเคลวินในปัจจุบัน เมื่อเอกภพขยายตัวขึ้น แรงโน้มถ่วงก็เริ่มทำงาน แรงโน้มถ่วงคือสิ่งที่ควบคุมเอกภพ เป็นแรงที่ดึงวัตถุเข้าหากัน ยึดเหนี่ยวกันจนกลายเป็นก้อนก๊าซและกลายเป็นดาวฤกษ์ กระจุกดาวฤกษ์ขนาดมหึมานี้นะถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วงกลายเป็นกาแล็คซี่ อย่างที่เราเห็นเป็นรูปไข่และรูปสไปรัลกันในปัจจุบัน แต่กาแล็คซี่ก็ยังมีดาวฤกษ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ รวมถึงยังมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดกาแล็คซี่ข้างเคียงมาเรื่อยๆอีกด้วย และเมื่อถูกดึงดูดมารวมกัน กาแล็คซี่ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างไปได้อีก
กาแล็คซี่ที่อยู่ในเอกภพไม่ได้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นแผ่นกว้างหรือเรียงเป็นเส้นสายหรือเป็นกลุ่ม บางแห่งเป็นครอบครัวใหญ่ของกาแล็คซี่จำนวนมากเรียกว่ากระจุกกาแล็คซี่ กาแล็คซี่ที่เราอยู่เรียกว่า กาแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์สองแสนล้านดวงถึงสี่แสนล้านดวง ดาวเคราะห์กับเมฆฝุ่นกับก๊าซที่เรียกว่าเนบิลล่า ถ้าเรามองดูกาแล็คซี่ทางช้างเผือกจากในอวกาศ เราจะเห็นเป็นกาแล็คซี่แบบสไปรัล กาแล็คซี่ทางช้างเผือกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นล้านถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว จากกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองช้าๆ แรงโน้มถ่วงดึงก๊าซเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ก๊าซยุบตัวลงเป็นรูปจานคว่ำประกบกัน นูนออกตรงกลาง ที่จุดศูนย์กลางของกาแล็คซี่มีหลุมดำอยู่ที่นั่น เราสามารถสังเกตเห็นวัตถุเคลื่อนที่รอบศูนย์กลางของกาแล็คซี่ด้วยความเร็วที่สูงมากหรือบางครั้งพบก๊าซร้อนที่หมุนวนรอบศูนย์กลาง นี่คือหลุมดำที่มีแรงโน้มถ่วงสูงดึงทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในหลุม แม้แต่แสงสว่างซึ่งมีความเร็วสูงที่สุดก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาได้ เราจึงเห็นหลุมนั้นมืดมิด แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งพลังงานจำนวนมากจากสสารที่ดึงดูดเข้าไปนั้นออกมา ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง มีหลุมดำที่มีมวลสารมากกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า เป็นที่น่าสนใจว่า จากบริเวณศูนย์กลางที่มีขนาด 20 ปีแสง มีคลื่นวิทยุที่มีความร้อนแผ่กระจายออกมาด้วยความเข้มเท่ากับดวงอาทิตย์ 80 ล้านดวง
ภายในหลุมดำที่มนุษย์มองไม่เห็น มีความลับอีกมากมายที่ชวนให้เราค้นหา ในขณะที่นักดาราศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เอกภพจะยืดแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากกาแล็คซี่เคลื่อนที่ถอยห่างกันไม่หยุดยั้ง นักดาราศาสตร์อีกกลุ่มกลับเชื่อว่า สักวันหนึ่งกาแล็คซี่จะถดถอยหวนกลับเกิดการชนผนึกครั้งใหญ่ รวมกันเป็นก้อนใหญ่อีกครั้ง ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การศึกษาเรื่องราวของเอกภพยังก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2546 นักวิทยาศาสตร์ได้
ค้นพบว่าที่ดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากดาวพลูโต ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าของเรา ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 15,000 ล้านกิโลเมตร และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ถึง 97 เท่าของโลก ปัจจุบันดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ระหว่างการตั้งชื่อโดยมีชื่อเรียกชั่วคราวว่า 2003-UB313 เพราะการศึกษากาแล็คซี่และเอกภพ เป็นการศึกษาอดีต และเป็นสิ่งที่มนุษย์คาดว่าจะทำให้เราล้วงรู้ความเป็นไปของโลกในอนาคตได้ เราจึงค้นคว้ากันอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ที่สำคัญและอาจหมายรวมถึงเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์พยายามไขปริศนา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอารยธรรมอื่นในเอกภพที่เกิดขึ้นและดับสูญไปนานก่อนโลกของเรา เอกภพนี้จะถึงกาลอวสานหรือไม่ แม้กระทั่งว่าเราคือสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลหรือไม่ ความลึกลับของเอกภพยังคงรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ค้นหา
เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้ง... คุณนึกถึงอะไร?
ในขณะที่ เอ็ดมัน แฮลลีย์ เป็นผู้สำรวจพบว่า ดาวหางดวงหนึ่งโคจรมาให้ชาวโลกเห็นทุกๆ 75 ปี เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ศึกษาพบว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง เมื่อแสงเข้าใกล้วัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงและทุกสิ่งในเอกภพเคลื่อนที่ไปไม่หยุดนิ่ง เขาจึงได้ค้นพบสมการที่ไขปริศนาความลับการเปลี่ยนแปลงระหว่างสสารกับพลังงาน นั่นคือ E=mc2 เอ็ดวิน ฮับเบิ้ล ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการขยายตัวของเอกภพที่เราเรียกกันว่า ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang Theory) เพราะเขาสังเกตเห็นว่ากาแล็คซี่ทั้งหลายเคลื่อนตัวหนีห่างจากกันและกัน จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 สตีเฟน ฮอว์คิง จึงได้นำทฤษฎีพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนมาอธิบายความเป็นไปในจักรวาล ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการระเบิดใหญ่ที่ทำให้เอกภพนี้ถือกำเนิดขึ้น การระเบิดใหญ่ที่เรารู้จักกันในชื่อว่าบิ๊กแบง
เอกภพของเรามีขนาดมหึมาและรวมทุกสิ่งทุกอย่างในอวกาศเอาไว้ ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์และกาแล็คซี่จำนวนมาก ระยะทางอันแสนไกลในอวกาศสามารถระบุได้ด้วยอัตราเร็วของแสง เนื่องจากแสงเดินทางได้เร็วที่สุดเกือบ 3 แสนกิโลเมตร ในหนึ่งวินาที แม้ดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร แต่แสงก็ใช้เวลาเดินทางเพียง 8 นาทีเท่านั้น ในระยะเวลา 1 ปี แสงจะเดินทางได้ 9ล้าน 5 แสนล้าน กิโลเมตร เราเรียกระยะทางนี้ว่า 1 ปีแสง ระบบสุริยะของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบรวมกับกาแล็คซี่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเอกภพ โดยกาแล็คซี่ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เราที่สุดอยู่ห่างจากโลกถึงสองล้านปีแสง นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเอกภพของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันล้านปีถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว โดยการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบง
เอกภพอุบัติขึ้นจากพลังงานมหาศาล ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากประมาณ สิบยกกำลังสามสิบสององศาเคลวิน แต่มีขนาดเล็กเป็นจุดเล็กๆ ที่รวบรวมสสารและพลังงานทั้งเอกภพหลังจากเกิดบิ๊กแบง ในตอนแรกเอกภพอยู่ในรูปของพลังงาน เนื่องจากสสารและตัวต้านสสารทำลายล้างกันได้เช่นเดียวกับพลังงาน โชคดีสำหรับเราที่สสารเป็นฝ่ายชนะทำให้เอกภพของเรามีสสารมากมาย เอกภพทั้งหมดซึ่งมีสสารและพลังงานได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับลดอุณหภูมิลง เอกภพจึงมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีอุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ เหลือ 3,000 องศาเคลวินในปัจจุบัน เมื่อเอกภพขยายตัวขึ้น แรงโน้มถ่วงก็เริ่มทำงาน แรงโน้มถ่วงคือสิ่งที่ควบคุมเอกภพ เป็นแรงที่ดึงวัตถุเข้าหากัน ยึดเหนี่ยวกันจนกลายเป็นก้อนก๊าซและกลายเป็นดาวฤกษ์ กระจุกดาวฤกษ์ขนาดมหึมานี้นะถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วงกลายเป็นกาแล็คซี่ อย่างที่เราเห็นเป็นรูปไข่และรูปสไปรัลกันในปัจจุบัน แต่กาแล็คซี่ก็ยังมีดาวฤกษ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ รวมถึงยังมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดกาแล็คซี่ข้างเคียงมาเรื่อยๆอีกด้วย และเมื่อถูกดึงดูดมารวมกัน กาแล็คซี่ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างไปได้อีก
กาแล็คซี่ที่อยู่ในเอกภพไม่ได้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นแผ่นกว้างหรือเรียงเป็นเส้นสายหรือเป็นกลุ่ม บางแห่งเป็นครอบครัวใหญ่ของกาแล็คซี่จำนวนมากเรียกว่ากระจุกกาแล็คซี่ กาแล็คซี่ที่เราอยู่เรียกว่า กาแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์สองแสนล้านดวงถึงสี่แสนล้านดวง ดาวเคราะห์กับเมฆฝุ่นกับก๊าซที่เรียกว่าเนบิลล่า ถ้าเรามองดูกาแล็คซี่ทางช้างเผือกจากในอวกาศ เราจะเห็นเป็นกาแล็คซี่แบบสไปรัล กาแล็คซี่ทางช้างเผือกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นล้านถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว จากกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองช้าๆ แรงโน้มถ่วงดึงก๊าซเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ก๊าซยุบตัวลงเป็นรูปจานคว่ำประกบกัน นูนออกตรงกลาง ที่จุดศูนย์กลางของกาแล็คซี่มีหลุมดำอยู่ที่นั่น เราสามารถสังเกตเห็นวัตถุเคลื่อนที่รอบศูนย์กลางของกาแล็คซี่ด้วยความเร็วที่สูงมากหรือบางครั้งพบก๊าซร้อนที่หมุนวนรอบศูนย์กลาง นี่คือหลุมดำที่มีแรงโน้มถ่วงสูงดึงทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในหลุม แม้แต่แสงสว่างซึ่งมีความเร็วสูงที่สุดก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาได้ เราจึงเห็นหลุมนั้นมืดมิด แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งพลังงานจำนวนมากจากสสารที่ดึงดูดเข้าไปนั้นออกมา ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง มีหลุมดำที่มีมวลสารมากกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า เป็นที่น่าสนใจว่า จากบริเวณศูนย์กลางที่มีขนาด 20 ปีแสง มีคลื่นวิทยุที่มีความร้อนแผ่กระจายออกมาด้วยความเข้มเท่ากับดวงอาทิตย์ 80 ล้านดวง
ภายในหลุมดำที่มนุษย์มองไม่เห็น มีความลับอีกมากมายที่ชวนให้เราค้นหา ในขณะที่นักดาราศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เอกภพจะยืดแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากกาแล็คซี่เคลื่อนที่ถอยห่างกันไม่หยุดยั้ง นักดาราศาสตร์อีกกลุ่มกลับเชื่อว่า สักวันหนึ่งกาแล็คซี่จะถดถอยหวนกลับเกิดการชนผนึกครั้งใหญ่ รวมกันเป็นก้อนใหญ่อีกครั้ง ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การศึกษาเรื่องราวของเอกภพยังก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2546 นักวิทยาศาสตร์ได้
ค้นพบว่าที่ดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากดาวพลูโต ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าของเรา ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 15,000 ล้านกิโลเมตร และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ถึง 97 เท่าของโลก ปัจจุบันดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ระหว่างการตั้งชื่อโดยมีชื่อเรียกชั่วคราวว่า 2003-UB313 เพราะการศึกษากาแล็คซี่และเอกภพ เป็นการศึกษาอดีต และเป็นสิ่งที่มนุษย์คาดว่าจะทำให้เราล้วงรู้ความเป็นไปของโลกในอนาคตได้ เราจึงค้นคว้ากันอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ที่สำคัญและอาจหมายรวมถึงเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์พยายามไขปริศนา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอารยธรรมอื่นในเอกภพที่เกิดขึ้นและดับสูญไปนานก่อนโลกของเรา เอกภพนี้จะถึงกาลอวสานหรือไม่ แม้กระทั่งว่าเราคือสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลหรือไม่ ความลึกลับของเอกภพยังคงรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ค้นหา
เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้ง... คุณนึกถึงอะไร?
5 อันดับผีตามความเชื่อของคนอีสาน
อันดับที่ 5 ผีฟ้า
ตามความเชื่อของชาวอีสาน ผีฟ้าก็นั้นก็คือเทวดารูปหนึ่งที่มีอำนาจทุกอย่างบนท้องฟ้า อาจจะให้ดีหรือร้ายแก่มนุษย์ก็ได้ ซึ่งหัวหน้าใหญ่ของผีฟ้าก็คือพญาแถน ผีฟ้าจะให้คุณกับบุคคลที่เชื่อและศรัทธากับผีฟ้า ซึ่งมีดังนี้ มาจากการที่ผีฟ้าเลือกเอง จากการมองเห็นนิมิตร มาจากการที่เป็นหนี้บุญคุณผีฟ้า เช่นช่วยในการทำให้หายป่วย มาจากการสืบทอดบรรพบุรุษ คือ มีการสืบทอดในตระกูล แต่หากผู้ใดที่ทำผิดครูจะถูกสาปให้กลายเป็นปอบ
อันดับที่ 4 ผีเป้า
มีลักษณะคล้ายกับผีปอบ แต่จะเป็นในผู้ชาย ผีเป้าเกิดจากการที่คนๆ นั้นเรียนวิชาอาคม แล้วไม่สามารถที่จะรักษาวิชาอาคมนั้นเอาไว้ได้ มีอีกความเชื่อหนึ่งว่าผีเป้าเกิดจากคนที่ชอบกินของสุกๆ ดิบๆ ด้วยเหตุนี้คนอีสานจึงมักสอนลูกๆ ไม่ให้กินของสุกๆ ดิบๆ เพราะจะกลายเป็นผีเป้า ผีเป้านั้นมักจะไม่สู้คน เมื่อออกหากินก็มักจะพกของมีค่าไว้เสมอ เพราะหากไปเจอคนก็จะถูกจับได้ว่าเป็นผีเป้า จึงต้องพกของมีค่าเหล่านี้เอาไว้ติดสินบนหรือเป็นค่าปิดปาก เมื่อโดนจับได้จะไม่โดนขับไล่เหมือนกับผีปอบ แต่จะโดนรังเกียจแทน เพราะผีเป้านั้นไม่ทำร้ายคน ลักษณะองผีเป้านั้นจะมีแสงอยู่ที่ปลายจมูก แต่พอเมื่อเจอคน แสงนั้นจะดับลงไปทันที ในตอนกลางวันผีเป้าจะเป็นเหมือนนปกิทั่วไป แต่พอตกกลางคืนผีเป้าที่สิงอยู่ในร่างนั้นจะมีอาการหิวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และจะออกไปหากบกินตามทุ่งนา แต่ถ้าหากบไม่ได้ก็จะไปจับไก่ในเล้าแทน ชาวบ้านจึงมักจะไปดักจับผีเป้าตามทุ่งนาเพื่อหวังะรับเงินสินบนนั่นเอง
อันดับที่ 3 ผีแม่ม่าย
ผีแม่ม่ายจัดอยู่ในผีประเภทบังบด หรือเป็นมนุษย์ในอีกมิติหนึ่ง เมืองที่ผีบังบดอยู่นั้นนิยมเรียกว่าเมืองลับแล ว่ากันว่าเมืองนี้มีแต่แม่ม่าย ทุกคนล้วนแล้วแต่สวยงาม ผีตนนี้จะออกเที่ยวในยามค่ำคืนเพื่อหลอกล่ชายหนุ่มให้ไปเป็นสามีทีละหนึ่งคน โดยผีแม่ม่ายจะหลอกล่อจิตวิญญาณของคนๆ นั้นขณะนอนหลับ เมื่อดวงวิญญาณติดตามผีแม่ม่ายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมื่อร่างของเรานั้นไม่มีดวงวิญญาณก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าหากดวงวิญญาณของเราถูกผีแม่ม่ายหลอกล่อไปแล้วจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกคือตายนั่นเอง หากครอบครัวใดมีผู้ชายที่ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อผีแม่ม่าย ให้นำหุ่นรูปผู้ชายไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อผีแม่ม่ายจะมาเอาไปเป็นสามี ผีแม่ม่ายจะคิดว่าหุ่นนั้นเป็นชายหนุ่ม และก็จะเอาหุ่นนั้นไปแทน ว่ากันว่าผีแม่ม่ายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวจึงมีความ้องการทางเพศสูงมาก หากจะให้ได้ผลดีขึ้นให้นำปลัดขิกทาสีแดงตั้งไว้คู่กับหุ่น
อันดับที่ 2 ผีจ้างหนัง
เรื่องผีจ้างหนังเป็นเรื่องเล่าที่เล่ากันว่า เรื่องเกิดเมื่อตอนปีพุทธศักราช 2532 มีคนว่าจ้างให้หนังเร่ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างนั้น ที่ตกลงกันอยู่ที่ 4,000 บาท ฉายหนังสามถึงสี่เรื่อง โดยให้ฉายช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีสี่ พอถึงตีสี่ต้องเก็บข้าวของให้หมดก่อนที่จะสว่าง ทางหนังเร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นความต้องการของผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาเริ่มฉายหนังตอนสามทุ่มก็มีผู้หญิงชุดขาวนั่งอยู่ข้างหนึ่ง และมีผู้ชายชุดดำนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ว่าหนังฉายไปแบบไหน คนเหล้านั้นก็เพียงแต่มองดูไปเฉยๆ นิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เมื่อถึงตอนเวลาตีสี่ ก็มีนมาบอกหนังเร่ว่าให้รีบเก็บข้าวของแล้วให้ออกไปทันทีและห้ามหันหลังกลับมาดู ทางฝ่ายหนังเร่ก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ในระหว่างนั้นทางฝ่ายหนังเร่ก็สงสัยกันว่า ทำไมจะต้องห้ามหันหลังกลับมาดูด้วย จึงได้ลองหันหลังกลับไป พวกผู้คนที่มาดูกันหลายคนก็ต่างหายไปหมด เหลือเพียงป่าทึบๆ ให้เห็นเท่านั้น
อันดับที่ 1 ผีปอบ
ปอบเป็นผีที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ผีปอบนิสัยจะคล้ายๆ กับผีเป้า แต่จะนิสัยแย่กว่ามากๆ และจะสิงอยู่ในตัวผู้หญิงมากกว่า ของกินของผีปอบก็เหมือนกับผีเป้าคือของสุกๆ ดิบๆ ผีปอบจะแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
ประเภทที่ 1 ปอบที่สืบทอดมาเป็นวงศ์ระกูล ซึ่งจะสืบทอดกันทางเลือดและน้ำลาย ชาวอีสานจะชอบเคี้ยวข้าวแล้วป้อนให้ลูกกินที่เรียกกันว่าข้าวย้ำ จึงทำให้เด็กที่กินนั้นติดเชื้อปอบไปโดยปริยาย ปอบที่ติดต่อกันทางสายเลือดนั้นะมีนิสัยดุร้ายไม่มาก หลบๆ ซ่อนๆ ไม่สุงสิงกับใคร
ประเภทที่ 2 ปอบเวทย์ ปอบประเภทนี้เกิดจากผู้ที่มีวิชาอาคมแล้วผิดคำสั่งห้ามของครูอาจารย์ ทำให้กลายเป็นปอบ โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่โลภมากแล้วเก็บค่าครูเกินที่กำหนด เพราะในอดีตคนโบราณะเห็นน้ำใจนั้นดีกว่าเงิน เมื่อเรียกเก็บค่าครูจะเรียกพอประมาณ ไม่ละโมบเรียกเก็บมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ปอบที่ผิดครูจะมีนิสัยดุร้ายมากและเป็นปอบที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด
ประเภทที่ 3 ปอบเลี้ยง ปอบประเภทนี้เกิดจากวิชาอาคมของหมอผี ที่อัญเชิญผีห่า ดวงวิญญาณผีมาสิงอยู่ในกรวยดอกไม้หรือหุ่นอาคมที่ทำขึ้น เกิดเป็นปอบที่มีแต่สิ่งชั่วร้ายมารวมเป็นตัวเดียวกัน ส่วนมากปอบประเภทนี้จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ใช้งานแต่ต้องมีของเซ่นไหว้ด้วย หากไม่ทำการเซ่นไหว้ วิชาอาคมจะเข้าแทรกซ้อนตัวจนทำให้เป็นบ้าและเสียชีวิตได้ ปอบชนิดนี้จะมีความดุร้ายมากและฉลาดอีกด้วย พวกมันจะไม่กินของสุกๆดิบๆ เหมือนปอบประเภทอื่น และจะบำเพ็ญจนวิชาอาคมแก่กล้าอีกด้วย
ประเภทที่ 4 ปอบเจ้า เป็นราชาของปอบทั้งมวล คือเป็นผีปอบที่ผ่านการขับไล่ของหมอผีมาแล้ว ปอบประเภทนี้คือปอบหนึ่งในสามประเภทข้างต้นที่ถูกทำร้ายกักขังจนเกิดการอาฆาตแค้น เมื่อถูกปลดปล่อยจะเข้าสิงสัตว์และมนุษย์และะกินทกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งตับไตไส้พุง เมื่อผีปอบตัวนี้เข้าไปอยู่ที่บ้านใด บรรดาไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้จะหมดเล้าภายในคืนเดียว เมื่อบ้านใดที่ไก่ถูกกินนหมดเล้าจะเรียกว่าห่าลง
ตามความเชื่อของชาวอีสาน ผีฟ้าก็นั้นก็คือเทวดารูปหนึ่งที่มีอำนาจทุกอย่างบนท้องฟ้า อาจจะให้ดีหรือร้ายแก่มนุษย์ก็ได้ ซึ่งหัวหน้าใหญ่ของผีฟ้าก็คือพญาแถน ผีฟ้าจะให้คุณกับบุคคลที่เชื่อและศรัทธากับผีฟ้า ซึ่งมีดังนี้ มาจากการที่ผีฟ้าเลือกเอง จากการมองเห็นนิมิตร มาจากการที่เป็นหนี้บุญคุณผีฟ้า เช่นช่วยในการทำให้หายป่วย มาจากการสืบทอดบรรพบุรุษ คือ มีการสืบทอดในตระกูล แต่หากผู้ใดที่ทำผิดครูจะถูกสาปให้กลายเป็นปอบ
อันดับที่ 4 ผีเป้า
มีลักษณะคล้ายกับผีปอบ แต่จะเป็นในผู้ชาย ผีเป้าเกิดจากการที่คนๆ นั้นเรียนวิชาอาคม แล้วไม่สามารถที่จะรักษาวิชาอาคมนั้นเอาไว้ได้ มีอีกความเชื่อหนึ่งว่าผีเป้าเกิดจากคนที่ชอบกินของสุกๆ ดิบๆ ด้วยเหตุนี้คนอีสานจึงมักสอนลูกๆ ไม่ให้กินของสุกๆ ดิบๆ เพราะจะกลายเป็นผีเป้า ผีเป้านั้นมักจะไม่สู้คน เมื่อออกหากินก็มักจะพกของมีค่าไว้เสมอ เพราะหากไปเจอคนก็จะถูกจับได้ว่าเป็นผีเป้า จึงต้องพกของมีค่าเหล่านี้เอาไว้ติดสินบนหรือเป็นค่าปิดปาก เมื่อโดนจับได้จะไม่โดนขับไล่เหมือนกับผีปอบ แต่จะโดนรังเกียจแทน เพราะผีเป้านั้นไม่ทำร้ายคน ลักษณะองผีเป้านั้นจะมีแสงอยู่ที่ปลายจมูก แต่พอเมื่อเจอคน แสงนั้นจะดับลงไปทันที ในตอนกลางวันผีเป้าจะเป็นเหมือนนปกิทั่วไป แต่พอตกกลางคืนผีเป้าที่สิงอยู่ในร่างนั้นจะมีอาการหิวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และจะออกไปหากบกินตามทุ่งนา แต่ถ้าหากบไม่ได้ก็จะไปจับไก่ในเล้าแทน ชาวบ้านจึงมักจะไปดักจับผีเป้าตามทุ่งนาเพื่อหวังะรับเงินสินบนนั่นเอง
อันดับที่ 3 ผีแม่ม่าย
ผีแม่ม่ายจัดอยู่ในผีประเภทบังบด หรือเป็นมนุษย์ในอีกมิติหนึ่ง เมืองที่ผีบังบดอยู่นั้นนิยมเรียกว่าเมืองลับแล ว่ากันว่าเมืองนี้มีแต่แม่ม่าย ทุกคนล้วนแล้วแต่สวยงาม ผีตนนี้จะออกเที่ยวในยามค่ำคืนเพื่อหลอกล่ชายหนุ่มให้ไปเป็นสามีทีละหนึ่งคน โดยผีแม่ม่ายจะหลอกล่อจิตวิญญาณของคนๆ นั้นขณะนอนหลับ เมื่อดวงวิญญาณติดตามผีแม่ม่ายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมื่อร่างของเรานั้นไม่มีดวงวิญญาณก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าหากดวงวิญญาณของเราถูกผีแม่ม่ายหลอกล่อไปแล้วจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกคือตายนั่นเอง หากครอบครัวใดมีผู้ชายที่ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อผีแม่ม่าย ให้นำหุ่นรูปผู้ชายไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อผีแม่ม่ายจะมาเอาไปเป็นสามี ผีแม่ม่ายจะคิดว่าหุ่นนั้นเป็นชายหนุ่ม และก็จะเอาหุ่นนั้นไปแทน ว่ากันว่าผีแม่ม่ายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวจึงมีความ้องการทางเพศสูงมาก หากจะให้ได้ผลดีขึ้นให้นำปลัดขิกทาสีแดงตั้งไว้คู่กับหุ่น
อันดับที่ 2 ผีจ้างหนัง
เรื่องผีจ้างหนังเป็นเรื่องเล่าที่เล่ากันว่า เรื่องเกิดเมื่อตอนปีพุทธศักราช 2532 มีคนว่าจ้างให้หนังเร่ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างนั้น ที่ตกลงกันอยู่ที่ 4,000 บาท ฉายหนังสามถึงสี่เรื่อง โดยให้ฉายช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีสี่ พอถึงตีสี่ต้องเก็บข้าวของให้หมดก่อนที่จะสว่าง ทางหนังเร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นความต้องการของผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาเริ่มฉายหนังตอนสามทุ่มก็มีผู้หญิงชุดขาวนั่งอยู่ข้างหนึ่ง และมีผู้ชายชุดดำนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ว่าหนังฉายไปแบบไหน คนเหล้านั้นก็เพียงแต่มองดูไปเฉยๆ นิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เมื่อถึงตอนเวลาตีสี่ ก็มีนมาบอกหนังเร่ว่าให้รีบเก็บข้าวของแล้วให้ออกไปทันทีและห้ามหันหลังกลับมาดู ทางฝ่ายหนังเร่ก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ในระหว่างนั้นทางฝ่ายหนังเร่ก็สงสัยกันว่า ทำไมจะต้องห้ามหันหลังกลับมาดูด้วย จึงได้ลองหันหลังกลับไป พวกผู้คนที่มาดูกันหลายคนก็ต่างหายไปหมด เหลือเพียงป่าทึบๆ ให้เห็นเท่านั้น
อันดับที่ 1 ผีปอบ
ปอบเป็นผีที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ผีปอบนิสัยจะคล้ายๆ กับผีเป้า แต่จะนิสัยแย่กว่ามากๆ และจะสิงอยู่ในตัวผู้หญิงมากกว่า ของกินของผีปอบก็เหมือนกับผีเป้าคือของสุกๆ ดิบๆ ผีปอบจะแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
ประเภทที่ 1 ปอบที่สืบทอดมาเป็นวงศ์ระกูล ซึ่งจะสืบทอดกันทางเลือดและน้ำลาย ชาวอีสานจะชอบเคี้ยวข้าวแล้วป้อนให้ลูกกินที่เรียกกันว่าข้าวย้ำ จึงทำให้เด็กที่กินนั้นติดเชื้อปอบไปโดยปริยาย ปอบที่ติดต่อกันทางสายเลือดนั้นะมีนิสัยดุร้ายไม่มาก หลบๆ ซ่อนๆ ไม่สุงสิงกับใคร
ประเภทที่ 2 ปอบเวทย์ ปอบประเภทนี้เกิดจากผู้ที่มีวิชาอาคมแล้วผิดคำสั่งห้ามของครูอาจารย์ ทำให้กลายเป็นปอบ โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่โลภมากแล้วเก็บค่าครูเกินที่กำหนด เพราะในอดีตคนโบราณะเห็นน้ำใจนั้นดีกว่าเงิน เมื่อเรียกเก็บค่าครูจะเรียกพอประมาณ ไม่ละโมบเรียกเก็บมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ปอบที่ผิดครูจะมีนิสัยดุร้ายมากและเป็นปอบที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด
ประเภทที่ 3 ปอบเลี้ยง ปอบประเภทนี้เกิดจากวิชาอาคมของหมอผี ที่อัญเชิญผีห่า ดวงวิญญาณผีมาสิงอยู่ในกรวยดอกไม้หรือหุ่นอาคมที่ทำขึ้น เกิดเป็นปอบที่มีแต่สิ่งชั่วร้ายมารวมเป็นตัวเดียวกัน ส่วนมากปอบประเภทนี้จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ใช้งานแต่ต้องมีของเซ่นไหว้ด้วย หากไม่ทำการเซ่นไหว้ วิชาอาคมจะเข้าแทรกซ้อนตัวจนทำให้เป็นบ้าและเสียชีวิตได้ ปอบชนิดนี้จะมีความดุร้ายมากและฉลาดอีกด้วย พวกมันจะไม่กินของสุกๆดิบๆ เหมือนปอบประเภทอื่น และจะบำเพ็ญจนวิชาอาคมแก่กล้าอีกด้วย
ประเภทที่ 4 ปอบเจ้า เป็นราชาของปอบทั้งมวล คือเป็นผีปอบที่ผ่านการขับไล่ของหมอผีมาแล้ว ปอบประเภทนี้คือปอบหนึ่งในสามประเภทข้างต้นที่ถูกทำร้ายกักขังจนเกิดการอาฆาตแค้น เมื่อถูกปลดปล่อยจะเข้าสิงสัตว์และมนุษย์และะกินทกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งตับไตไส้พุง เมื่อผีปอบตัวนี้เข้าไปอยู่ที่บ้านใด บรรดาไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้จะหมดเล้าภายในคืนเดียว เมื่อบ้านใดที่ไก่ถูกกินนหมดเล้าจะเรียกว่าห่าลง
10 ตำนานผีอาเซียนประเทศเพื่อนบ้านสุดสยอง
1. เจ็งล็อต (Jenglot) จากประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศบ้านเกิดของเจ็งล็อตก็คืออินโดนีเซีย มันเป็นลูกครึ่งระหว่างมัมมี่กับแวมไพร์ มีขนาดเล็กกะจิ๋วหลิวประมาณ 6 นิ้วเท่านั้นเอง เกิดขึ้นมาจากฤาษีที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นมุ่งสู่ความเป็นอมตะ อุทิศตนนับถือปีศาจจนได้พลังอำนาจมาและกลายเป็นเจ็งล็อต คนที่เลี้ยงเจ็งล็อตจะต้องให้เลือดกับมันด้วย จะเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ก็ได้ การให้เลือดนั้นก็ทำโดยการฉีดเลือดเข้าไปในตัวมันทุกเดือนๆ ละ 1 ซีซี แต่บางคนก็เพียงแค่เทเลือดใส่ถ้วย วางเอาไว้ข้างๆ เจ็งล็อต แล้วมันจะแอบกินเองตามลำพังตอนที่ไม่มีใครเห็น เจ็งล็อตเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในอินโดนีเซีย ขนาดว่ามีการจัดงานโชว์เจ็งล็อตกันที่กรุงจาร์การ์ต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย เชื่อกันว่าเจ็งล็อตบางตัวมีอายุถึง 6,000 ปีกันเลยทีเดียว
2. กุนตีลานัก (Kuntilanuk) จากประเทศอินโดนีเซีย
ผีกุนตีลานัก จะคล้ายกับผีแม่นาครวมกับผีนางตานีของบ้านเรานั่นเอง เกิดจากสาวสวยที่ตายระหว่างตั้งครรภ์หรืออุ้มท้องหรือที่เรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง กุนตีลานักจะอาศัยอยู่ในต้นกล้วยเหมือนกับผีนางตานี เธอจะอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาว ผมยาวปิดหน้าปิดตา ผิวสีขาวซีด และอุ้มท้องอยู่ เมื่อไหร่ที่มีเสียงร้องไห้เบาๆ หรือเสียงสุนัขครางหงิงๆ แสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แล้ว แต่ถ้าได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้เสียงดังหรือสุนัขหอนแสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาในอาณาเขตละแวกบ้านของเราแล้ว และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ผีกุนตีลานักนั้นชื่นชอบการควักลำไส้เป็นที่สุด ด้วยความที่เธอมีเล็บยาวที่แหลมคม ถ้าใครโชคร้ายบังเอิญไปสบตากับผีรายนี้ก็จะโดนควักลูกตาออกไปกิน แถมยังโดนดูดสมองออกไปด้วย ยิ่งถ้าเหยื่อเป็นผู้ชายจะแถมด้วยการทำร้ายอวัยวะเพศอย่างโหดร้ายเข้าไปอีก บางความเชื่อเล่าว่า กุนตีลานักจะเลือกเหยื่อของเธอจากกลิ่นเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ ชาวอินโดนีเซียจึงมักจะไม่ยอมตากเสื้อเอาไว้นอกบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืนโดยเด็ดขาด โดยปกติผีตัวนี้มักจะชอบยืนรอเหยื่อเข้ามาติดกับเองมากกว่า ถ้าเราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แถวๆ ต้นกล้วยก็ยังพอมีโอกาสหนีไปให้ไกลจากบริเวณนั้น
3. โปลอส จากประเทศมาเลเซีย
โปลอสจะคล้ายๆ กับรักยมของประเทศไทย เกิดจากเลือดของคนที่ถูกฆ่าตาย โดยการเอาเลือดของคนดังกล่าวไปเก็บไว้ในขวดแล้วทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ วิญญาณผู้ตายจะถูกเรียกออกมาและถูกสะกดไว้ในขวดนั้น หลังจากนั้นสองสัปดาห์จะเริ่มได้ยินเสียงออกมาจากขวด เริ่มต้นจากเสียงร้องไห้เป็นอย่างแรก จากนั้นอาจจะมีเสียงแปลกๆ อื่นๆ ตามมา รูปร่างของโปลอสจะเหมือนผู้หญิงเปลือยตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในขวด จากนั้นผู้เลี้ยงดูจะต้องกรีดเลือดของตัวเองหยดใส่ในขวดเพื่อเป็นอาหารแก่ปีศาจตนนี้ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีที่ปีศาจพร้อมจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของตนต่อไป ปีศาจโปลอสจะไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากเจ้าของคนเดียว ส่วนใหญ่เจ้าของนั้นจะเป็นพ่อมดหมอผี ที่เลี้ยงดูโปลอสไว้ใช้ในทางมิชอบหรืองานผิดกฎหมาย อย่างเช่นการฆ่าคนเป็นต้น โปลอสจะทำร้ายทุกคนที่เจ้านายสั่งมา โดยจะทิ้งรอยแผลช้ำๆ ไว้บนร่างกายให้ดูต่างหน้า อาจถึงขั้นดูดเลือดออกจากปากของเหยื่อด้วย การเลี้ยงปีศาจโปลอสนี้เหมือนดาบสองคม ถ้าเลี้ยงดีก็ได้ประโยชน์ แต่หากพลั้งเผลอหรือละเลย ก็อาจทำให้ผู้เลี้ยงถึงตายได้เช่นกัน อาหารของโปลอสคือเลือด หากไม่ให้อาหารแก่มันตามกำหนด มันก็จะโกรธและเป็นอันตรายต่อเจ้าของและทุกคน วิธีป้องกันโปลอสทำร้ายให้ใช้เมล็ดพริกไทยผสมน้ำมันและกลีบกระเทียมสาดใส่โปลอส มันจะอ่อนแรงและหมดพลังในทันที
4. ผีปีนังกาลาน (Penanggalan) จากประเทศมาเลเซีย
ปีนังกาลานเป็นผีร้ายแห่งคาบสมุทรมาเลย์อันน่าสะพรึงกลัว ลักษณะของปีนังกาลานจะลอบไปมาโดยที่ไม่มีตัว มีแต่หัวกับลำไส้หรือไม่ก็มดลูกเพื่อหลแกหลอนผู้คนคล้ายๆ กับผีกระสือบ้านเรา ว่ากันว่าผีปีนังกาลานนี้เป็นผีที่ตายทั้งกลมจึงมีนิสัยดุร้ายและเกรี้ยวกราดมาก พร้อมจะเล่นงานเด็กๆ และผู้หญิงที่ตั้งท้องตลอดเวลา
มีเรื่องเกี่ยวกับผีปีนังกาลาน เรื่องหนึ่งเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่และลูก อยู่กินกันอย่างปกติสุขทั่วไป แต่ในคืนหนึ่งผู้เป็นพ่อได้ออกไปทำธุระนอกบ้าน ฝ่ายแม่นั้นปิดประตูลงกลอนมิดชิดแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องกับลูกที่หลับไปแล้ว จากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำมันมนต์ที่ซ่อนไว้ออกมาเทน้ำมันมนต์นั้นทารอบคอตนเอง สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงติดออกมาด้วย หัวและไส้ของนางลอยออกไปทางหน้าต่างเพื่อออกไปหากิน ถ้าชาวบ้านสักคนบังเอิญมองมาก็จะเห็นเป็นแสงสีเหลืองวับแวมและอาจได้ยินเสียงคล้ายกับลมพัดตลอดเวลาที่หัวของปีนังกาลานแลยไป เสียงนั้นดังขึ้นเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยเพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งกับพวงไส้ของหล่อนนั่นเอง ลูกตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ได้ตืนขึ้นมาและทันได้เห็นเหตุการณ์ลับของแม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหยิบเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทารอบคอของตัวเองบ้าง เพียงไม่นานในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยหวาดกลัวจนขวัญเสียร้องโวยวายออกมา
"ช่วยด้วยหัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว"
ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าออกไปให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงโวยวายจึงเงียบลง หลังจากคืนนั้นครอบครัวประหลาดนี้ก็ย้ายหนีออกจากหมู่บ้านและไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย
5. ปีศาจทิกบาลัง (Tikbalang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ทิกบาลังเป็นสัตว์ประหลาดของประเทศฟิลิปปินส์ มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้า มีตาสีแดงคล้ายกับเซนทอร์ในตำนานกรีก แม้ทิกบาลังจะมีสี่ขาเหมือนเซนทอร์ แต่มันก็สามารถยืนสี่ขาได้เหมือนกับคน มันอาศัยอยู่ในป่าของฟิลิปปินส์และไม่ชอบให้ใครมาทำเสียงเอะอะมะเทิ่งในป่า หากมันไม่พอใจ มันจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้คนเหล่านั้นหลงป่า ทิกบาลังสามารถกลายร่างเป็นคนได้ ล่องหนก็ได้ มันทำทุกวิถีทางให้คนหลงทาง วิธีการป้องกันก็คือเมื่อเดินเข้าป่าไปก็ให้ตะโกนขออนุญาติทิกบาลังเหมือนกับที่ขออนุญาติเจ้าป่าเจ้าเขาของคนไทยเรา และเมื่อเข้าป่าก็ให้พยายามสำรวม อย่าทำเสียงเอะอะนั่นเอง
6. ปีศาจกาปรี (Kapre) จากประเทศฟิลิปปินส์
กาปรี เป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงตนหนึ่งของฟิลิปปินส์ ชอบนุ่งผ้าเตี่ยวเหมือนคนพื้นเมือง ไม่สวมเสื้อ ชอบอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เช่นต้นไทร กอไผ่ ต้นมะม่วง บ้างก็จะนั่งอยู่ตามต้นไม้ บ้างก็จะยืนอยู่ข้างๆ ต้นไม้ บางคนเล่าว่ากาปรีจะสวมเข็มขัดด้วย ลักษณะของมันโดยรวมก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ว่าตัวจะสูงมากประมาณ 3 เมตร ตามตัวมีขนสีน้ำตาล ไว้หนวดเครายาว ความแปลกของเจ้าปีศาจตัวนี้ก็คือ มันติดบุหรี่ ทุกครั้งที่มีคนพบเจอตัวมันก็จะเห็นว่ามันสูบบุหรี่หรือซิการ์อยู่เสมอ แม้หน้าตาจะดูดุร้ายน่ากลัว แต่มันกลับเป็นมิตรกับผู้คน แถมยังอยากมีความรักอีกด้วย ที่สำคัญเจ้ากาปรีเป็นปีศาจช่างเลือก มันจะเลือกคนที่มันรู้สึกชอบเท่านั้นที่จะมองเห็นตัวมันได้ บางครั้งเวลาที่มีคนหลงป่า กาปรีก็จะหาเรื่องออกมาพูดคุยด้วย แต่ก็มีบางคนเชื่อว่ามันเองนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนหลงป่า เหตุการณ์แปลกๆ ที่บอกให้รู้ว่ากาปรีอยู่ใกล้ๆ ก็คือจะมีเสียงดังกรอบแกรบเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีลมพัด หรืออาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก้องออกมาจากต้นไม้ หรือมีควันของซิการ์ลอยออกมาจากต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ความพิเศษของมันอีกอย่างคือ ในมือข้างที่ไม่ได้จับซิการ์ มันจะกำก้อนหินสีขาวขนาดเล็กประมาณเม็ดถั่วเอาไว้ เชื่อว่าถ้ามันให้หินนั้นแก่ใครแล้ว ผู้ที่ครอบครองหินนั้นจะโชคดีสมความปรารถนาทุกประการ
7. ปีศาจอัสวัง (Aswang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ภูตปีศาจของฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความหลอนสุดๆ ก็คืออัสวัง ซึ่งในตอนกลางวันมันจะมีรูปร่างเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ แต่พอตกกลางคืนพวกมันจะมีปีกงอกออกมา ความร้ายกาจของผีอัสวังนี้คือจะออกไล่ล่าสตรีมีครรภ์และทารกเป็นอาหาร โดยใช้ลิ้นที่ยาวเป็นท่อไปดูดเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจนถึงแก่ความตาย อัสวังแบ่งแยกได้อีกเป็น 5 สายพันธุ์ นั่นก็คือ สายพันธุ์ที่หนึ่ง มานานังเกล มีรูปร่างเป็นผู้หญิง หน้าตาสะสวย มีปีกขนาดใหญ่ที่หลัง สามารถถอดลำตัวออกจากกันเป็นสองท่อนได่โดยไม่ตาย เวลาออกล่าเหยื่อก็จะบินออกไปได้มองดูเหมือนกับเหยี่ยวยักษ์ ว่ากันว่ามานานังเกลกลัวกระเทียมคล้ายกับแดร็กคูล่าของฝรั่ง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าเอาเกลือไปพรมตามที่อยู่ของมานานังเกลหรือพรมไปตามลำตัวท่อนบนของมันหรือบริเวณรอยต่อที่แยกตัวออกนั้น มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนที่เป็นอันตรายของมานานังเกลก็คือของเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์ซึ่งจะเข้าไปทำลายเด็กในท้องได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็กและยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย
สายพันธุ์ที่สองมีชื่อว่า มันดูรูโก คือพวกที่เป็นหญิงงามและเอาความงามเข้าล่อเหยื่อที่เป็นชาย หลังจากได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เคราะห์รายแล้ว มันดูรูโกก็จะใช้ร่างของสามีเป็นแหล่งอาหารทันที ซึ่งวิธีการก็คือจะแอบดูดเลือดจากซอกคอของสามีทุกวัน จนกว่าเลือดจะหมดตัวและแห้งตายไป มันจึงจะออกไปหาเหยื่อรายใหม่ สายพันธุ์ที่สามมีชื่อว่ามันกูกูรัม คือพวกที่เป็นแม่มดที่ใช้ตุ๊กตาสาปแช่งเพื่อเสกแมลง เสกก้างปลา หรือเสกเศษแก้วเข้าตัวคนจนถึงแก่ความตาย ส่วนอีกสองสายพันธุ์นั่นคือ พวกกินซากศพ กับพวกที่สามารถแปลงร่างได้ ซึ่งมันจะแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็นขณะออกล่าเหยื่อ
8. ผีหญิงชุดขาวกลางถนน จากประเทศฟิลิปปินส์
ผีตนนี้อาละวาดอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีเรื่องเล่าว่าบริเวณที่เป็นถนนสายนี้ ในอดีตมีหญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ศพที่พบในภายหลังนั้น ส่วนที่เป็นใบหน้าได้หายไป นับตั้งแต่นั้นมาวิญญาณของเธอก็จะปรากฏตัวอยู่ในรูปของผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวแต่ไร้หน้า และยืนเลือดท่วมอยู่กลางถนนตอนกลางคืน คอยดักเหยื่อที่ขับรถผ่านไปมาอยู่ในเส้นทางนี้เสมอ มีคำแนะนำว่าถ้าผู้ขับขี่จำเป็นต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ในยามวิกาลก็จงอย่ามองกระจกหลัง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงชุดขาวกลางถนนจะเข้ามาในรถในสภาพเลือดท่วมตัว มีชาวบ้านหลายรายถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอกจนจับไข้หัวโกร๋นกันมาแล้ว มีเรื่องเล่าอีกว่า ชายหนุ่มสองคนขับรถไปทำธุระโดยที่ต้องผ่านถนนเส้นนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษ พอถึงจุดเกิดเหตุทั้งคู่ก็เห็นหญิงสาวชุดขาวออกมายืนขวางอยู่กลางถนน ทำท่าเหมือนจะขอความช่วยเหลือ จนคนขับรถต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง พวกเขาไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนสวย เพราะหญิงสาวไว้ผมยาวดำขลับ รูปร่างดี เมื่อพวกเขาขับรถเข้าไปใกล้ๆ หวังจะให้ความช่วยเหลือ ก็เห็นเธอยื่นมือขาวซีดออกมา ทำท่าจะแตะประตูรถ ชาวหนุ่มทั้งสองก็มองไปที่ใบหน้าของเธอ แต่ก็พบว่าใบหน้านั้นขาวโพลนและว่างเปล่า ไม่มีตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงร้องไห้ของผู้หญิง เมื่อพวกเขารู้ว่าถูกผีหลอกแล้ว คนขับก็รีบออกรถและขับหนีอย่างไม่คิดชีวิตและไม่กล้าผ่านไปในเส้นทางนั้นอีกเลย
9. ผีกองกอย จากประเทศลาว
ประเทศลาวเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทย ที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน เรื่องราวของภูติผีปีศาจก็เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกัน โดยกองกอยเป็นผีป่า[/url]ชนิดหนึ่งมีปากเป็นท่อคล้ายกับแมลงวัน ลักษณะรูปร่างเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เวลาไปไหนมาไหนจะใช้วิธีกระโดดไปด้วยขาข้างเดียวนั้น พร้อมส่งเสียงร้องว่า กองกอย กองกอย ไปตลอดทางเป็นที่มาของชื่อกองกอยนั่นเอง หน้าตาของผีกองกอยจะคล้ายลิงหรือค่าง ดังนั้นบางคนจึงเรียกผีกองกอยว่า ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง คนเดินป่าเชื่อกันว่าผีกองกอยจะแอบเข้ามาดูดเลือดคนที่เดินป่าตอนที่นอนหลับทุกครั้งที่มีโอกาส จึงมีวิธีแก้เคล็ดป้องกันคือ ให้นอนไขว้หรือนอนให้เท้าชิดกันไว้ทั้งสองข้าง ผีกองกอยจะไม่เข้ามายุ่ง และอย่านอนให้เท้าเลยออกมานอกเต๊นท์นอนเด็ดขาด
10. ผีปอบ จากประเทศลาว
ในประเทศลาวก็มีความเชื่อเรื่องผีปอบเหมือนกับประเทศไทย โดยเชื่อกันว่าผีปอบเกิดจากผู้ที่ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจเวทมนต์คาถาไปทำร้ายผู้อื่นได้ แต่วิชาอาคมเหล่านี้ก็มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ซึ่งห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด หากกระทำผิดข้อห้ามจะเกิดการผิดครู วิญญาณของบรมครูจะลงโทษหรือสาปแช่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งก็เกิดจากคนเล่นคาถาอาคม ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ทำให้ของวิชาอาคมต่างๆ เข้าตัวกลายเป็นผีปอบในที่สุด
ผีปอบยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น ปอบธรรมดา คือคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง เมื่อคนๆ นี้ตายไป ปอบที่สิงอยู่ก็จะตายตามไปด้วย ประเภทต่อมาก็คือปอบเชื้อ หมายถึง ครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไปเหมือนเป็นกรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามก็ต้องเป็นผีปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ต่อมาคือปอบแลกหน้า หมายถึง ผีปอบที่เจ้าเล่ห์ ชอบเอาความผิดไปโยนให้คนอื่น เวลาที่เข้าสิงใคร เมื่อสอบถามว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยง ปอบจะไม่บอกความจริงแต่จะไปกล่าวโทษว่าคนนั้นคนนี้ โดยที่ผู้ถูกพาดพิงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ประเภทสุดท้ายเรียกว่า ปอบกักกึก ซึ่ง กึก ในภาษาอีสานแปลว่า ใบ้ เมื่อมีคนถามปอบจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใคร มีใครใช้ให้มาเข้าสิง
ผู้ที่ถูกปอบสิงจะมีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนจะแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีท่าทีอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกตับหมู ตับไก่ เครื่องใน เลือดสดๆ มาให้กิน เวลากินก็จะแสดงอาการตะกละตะกลาม มูมมาม และกินได้มากผิดปกติ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าผู้ป่วยถูกปอบเข้าสิงก็จะไปตามหมอผีหรือหมอธรรมให้มาไล่ปอบออกไป
ประเทศบ้านเกิดของเจ็งล็อตก็คืออินโดนีเซีย มันเป็นลูกครึ่งระหว่างมัมมี่กับแวมไพร์ มีขนาดเล็กกะจิ๋วหลิวประมาณ 6 นิ้วเท่านั้นเอง เกิดขึ้นมาจากฤาษีที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นมุ่งสู่ความเป็นอมตะ อุทิศตนนับถือปีศาจจนได้พลังอำนาจมาและกลายเป็นเจ็งล็อต คนที่เลี้ยงเจ็งล็อตจะต้องให้เลือดกับมันด้วย จะเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ก็ได้ การให้เลือดนั้นก็ทำโดยการฉีดเลือดเข้าไปในตัวมันทุกเดือนๆ ละ 1 ซีซี แต่บางคนก็เพียงแค่เทเลือดใส่ถ้วย วางเอาไว้ข้างๆ เจ็งล็อต แล้วมันจะแอบกินเองตามลำพังตอนที่ไม่มีใครเห็น เจ็งล็อตเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในอินโดนีเซีย ขนาดว่ามีการจัดงานโชว์เจ็งล็อตกันที่กรุงจาร์การ์ต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย เชื่อกันว่าเจ็งล็อตบางตัวมีอายุถึง 6,000 ปีกันเลยทีเดียว
2. กุนตีลานัก (Kuntilanuk) จากประเทศอินโดนีเซีย
ผีกุนตีลานัก จะคล้ายกับผีแม่นาครวมกับผีนางตานีของบ้านเรานั่นเอง เกิดจากสาวสวยที่ตายระหว่างตั้งครรภ์หรืออุ้มท้องหรือที่เรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง กุนตีลานักจะอาศัยอยู่ในต้นกล้วยเหมือนกับผีนางตานี เธอจะอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาว ผมยาวปิดหน้าปิดตา ผิวสีขาวซีด และอุ้มท้องอยู่ เมื่อไหร่ที่มีเสียงร้องไห้เบาๆ หรือเสียงสุนัขครางหงิงๆ แสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แล้ว แต่ถ้าได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้เสียงดังหรือสุนัขหอนแสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาในอาณาเขตละแวกบ้านของเราแล้ว และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ผีกุนตีลานักนั้นชื่นชอบการควักลำไส้เป็นที่สุด ด้วยความที่เธอมีเล็บยาวที่แหลมคม ถ้าใครโชคร้ายบังเอิญไปสบตากับผีรายนี้ก็จะโดนควักลูกตาออกไปกิน แถมยังโดนดูดสมองออกไปด้วย ยิ่งถ้าเหยื่อเป็นผู้ชายจะแถมด้วยการทำร้ายอวัยวะเพศอย่างโหดร้ายเข้าไปอีก บางความเชื่อเล่าว่า กุนตีลานักจะเลือกเหยื่อของเธอจากกลิ่นเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ ชาวอินโดนีเซียจึงมักจะไม่ยอมตากเสื้อเอาไว้นอกบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืนโดยเด็ดขาด โดยปกติผีตัวนี้มักจะชอบยืนรอเหยื่อเข้ามาติดกับเองมากกว่า ถ้าเราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แถวๆ ต้นกล้วยก็ยังพอมีโอกาสหนีไปให้ไกลจากบริเวณนั้น
3. โปลอส จากประเทศมาเลเซีย
โปลอสจะคล้ายๆ กับรักยมของประเทศไทย เกิดจากเลือดของคนที่ถูกฆ่าตาย โดยการเอาเลือดของคนดังกล่าวไปเก็บไว้ในขวดแล้วทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ วิญญาณผู้ตายจะถูกเรียกออกมาและถูกสะกดไว้ในขวดนั้น หลังจากนั้นสองสัปดาห์จะเริ่มได้ยินเสียงออกมาจากขวด เริ่มต้นจากเสียงร้องไห้เป็นอย่างแรก จากนั้นอาจจะมีเสียงแปลกๆ อื่นๆ ตามมา รูปร่างของโปลอสจะเหมือนผู้หญิงเปลือยตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในขวด จากนั้นผู้เลี้ยงดูจะต้องกรีดเลือดของตัวเองหยดใส่ในขวดเพื่อเป็นอาหารแก่ปีศาจตนนี้ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีที่ปีศาจพร้อมจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของตนต่อไป ปีศาจโปลอสจะไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากเจ้าของคนเดียว ส่วนใหญ่เจ้าของนั้นจะเป็นพ่อมดหมอผี ที่เลี้ยงดูโปลอสไว้ใช้ในทางมิชอบหรืองานผิดกฎหมาย อย่างเช่นการฆ่าคนเป็นต้น โปลอสจะทำร้ายทุกคนที่เจ้านายสั่งมา โดยจะทิ้งรอยแผลช้ำๆ ไว้บนร่างกายให้ดูต่างหน้า อาจถึงขั้นดูดเลือดออกจากปากของเหยื่อด้วย การเลี้ยงปีศาจโปลอสนี้เหมือนดาบสองคม ถ้าเลี้ยงดีก็ได้ประโยชน์ แต่หากพลั้งเผลอหรือละเลย ก็อาจทำให้ผู้เลี้ยงถึงตายได้เช่นกัน อาหารของโปลอสคือเลือด หากไม่ให้อาหารแก่มันตามกำหนด มันก็จะโกรธและเป็นอันตรายต่อเจ้าของและทุกคน วิธีป้องกันโปลอสทำร้ายให้ใช้เมล็ดพริกไทยผสมน้ำมันและกลีบกระเทียมสาดใส่โปลอส มันจะอ่อนแรงและหมดพลังในทันที
4. ผีปีนังกาลาน (Penanggalan) จากประเทศมาเลเซีย
ปีนังกาลานเป็นผีร้ายแห่งคาบสมุทรมาเลย์อันน่าสะพรึงกลัว ลักษณะของปีนังกาลานจะลอบไปมาโดยที่ไม่มีตัว มีแต่หัวกับลำไส้หรือไม่ก็มดลูกเพื่อหลแกหลอนผู้คนคล้ายๆ กับผีกระสือบ้านเรา ว่ากันว่าผีปีนังกาลานนี้เป็นผีที่ตายทั้งกลมจึงมีนิสัยดุร้ายและเกรี้ยวกราดมาก พร้อมจะเล่นงานเด็กๆ และผู้หญิงที่ตั้งท้องตลอดเวลา
มีเรื่องเกี่ยวกับผีปีนังกาลาน เรื่องหนึ่งเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่และลูก อยู่กินกันอย่างปกติสุขทั่วไป แต่ในคืนหนึ่งผู้เป็นพ่อได้ออกไปทำธุระนอกบ้าน ฝ่ายแม่นั้นปิดประตูลงกลอนมิดชิดแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องกับลูกที่หลับไปแล้ว จากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำมันมนต์ที่ซ่อนไว้ออกมาเทน้ำมันมนต์นั้นทารอบคอตนเอง สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงติดออกมาด้วย หัวและไส้ของนางลอยออกไปทางหน้าต่างเพื่อออกไปหากิน ถ้าชาวบ้านสักคนบังเอิญมองมาก็จะเห็นเป็นแสงสีเหลืองวับแวมและอาจได้ยินเสียงคล้ายกับลมพัดตลอดเวลาที่หัวของปีนังกาลานแลยไป เสียงนั้นดังขึ้นเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยเพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งกับพวงไส้ของหล่อนนั่นเอง ลูกตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ได้ตืนขึ้นมาและทันได้เห็นเหตุการณ์ลับของแม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหยิบเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทารอบคอของตัวเองบ้าง เพียงไม่นานในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยหวาดกลัวจนขวัญเสียร้องโวยวายออกมา
"ช่วยด้วยหัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว"
ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าออกไปให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงโวยวายจึงเงียบลง หลังจากคืนนั้นครอบครัวประหลาดนี้ก็ย้ายหนีออกจากหมู่บ้านและไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย
5. ปีศาจทิกบาลัง (Tikbalang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ทิกบาลังเป็นสัตว์ประหลาดของประเทศฟิลิปปินส์ มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้า มีตาสีแดงคล้ายกับเซนทอร์ในตำนานกรีก แม้ทิกบาลังจะมีสี่ขาเหมือนเซนทอร์ แต่มันก็สามารถยืนสี่ขาได้เหมือนกับคน มันอาศัยอยู่ในป่าของฟิลิปปินส์และไม่ชอบให้ใครมาทำเสียงเอะอะมะเทิ่งในป่า หากมันไม่พอใจ มันจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้คนเหล่านั้นหลงป่า ทิกบาลังสามารถกลายร่างเป็นคนได้ ล่องหนก็ได้ มันทำทุกวิถีทางให้คนหลงทาง วิธีการป้องกันก็คือเมื่อเดินเข้าป่าไปก็ให้ตะโกนขออนุญาติทิกบาลังเหมือนกับที่ขออนุญาติเจ้าป่าเจ้าเขาของคนไทยเรา และเมื่อเข้าป่าก็ให้พยายามสำรวม อย่าทำเสียงเอะอะนั่นเอง
6. ปีศาจกาปรี (Kapre) จากประเทศฟิลิปปินส์
กาปรี เป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงตนหนึ่งของฟิลิปปินส์ ชอบนุ่งผ้าเตี่ยวเหมือนคนพื้นเมือง ไม่สวมเสื้อ ชอบอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เช่นต้นไทร กอไผ่ ต้นมะม่วง บ้างก็จะนั่งอยู่ตามต้นไม้ บ้างก็จะยืนอยู่ข้างๆ ต้นไม้ บางคนเล่าว่ากาปรีจะสวมเข็มขัดด้วย ลักษณะของมันโดยรวมก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ว่าตัวจะสูงมากประมาณ 3 เมตร ตามตัวมีขนสีน้ำตาล ไว้หนวดเครายาว ความแปลกของเจ้าปีศาจตัวนี้ก็คือ มันติดบุหรี่ ทุกครั้งที่มีคนพบเจอตัวมันก็จะเห็นว่ามันสูบบุหรี่หรือซิการ์อยู่เสมอ แม้หน้าตาจะดูดุร้ายน่ากลัว แต่มันกลับเป็นมิตรกับผู้คน แถมยังอยากมีความรักอีกด้วย ที่สำคัญเจ้ากาปรีเป็นปีศาจช่างเลือก มันจะเลือกคนที่มันรู้สึกชอบเท่านั้นที่จะมองเห็นตัวมันได้ บางครั้งเวลาที่มีคนหลงป่า กาปรีก็จะหาเรื่องออกมาพูดคุยด้วย แต่ก็มีบางคนเชื่อว่ามันเองนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนหลงป่า เหตุการณ์แปลกๆ ที่บอกให้รู้ว่ากาปรีอยู่ใกล้ๆ ก็คือจะมีเสียงดังกรอบแกรบเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีลมพัด หรืออาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก้องออกมาจากต้นไม้ หรือมีควันของซิการ์ลอยออกมาจากต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ความพิเศษของมันอีกอย่างคือ ในมือข้างที่ไม่ได้จับซิการ์ มันจะกำก้อนหินสีขาวขนาดเล็กประมาณเม็ดถั่วเอาไว้ เชื่อว่าถ้ามันให้หินนั้นแก่ใครแล้ว ผู้ที่ครอบครองหินนั้นจะโชคดีสมความปรารถนาทุกประการ
7. ปีศาจอัสวัง (Aswang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ภูตปีศาจของฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความหลอนสุดๆ ก็คืออัสวัง ซึ่งในตอนกลางวันมันจะมีรูปร่างเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ แต่พอตกกลางคืนพวกมันจะมีปีกงอกออกมา ความร้ายกาจของผีอัสวังนี้คือจะออกไล่ล่าสตรีมีครรภ์และทารกเป็นอาหาร โดยใช้ลิ้นที่ยาวเป็นท่อไปดูดเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจนถึงแก่ความตาย อัสวังแบ่งแยกได้อีกเป็น 5 สายพันธุ์ นั่นก็คือ สายพันธุ์ที่หนึ่ง มานานังเกล มีรูปร่างเป็นผู้หญิง หน้าตาสะสวย มีปีกขนาดใหญ่ที่หลัง สามารถถอดลำตัวออกจากกันเป็นสองท่อนได่โดยไม่ตาย เวลาออกล่าเหยื่อก็จะบินออกไปได้มองดูเหมือนกับเหยี่ยวยักษ์ ว่ากันว่ามานานังเกลกลัวกระเทียมคล้ายกับแดร็กคูล่าของฝรั่ง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าเอาเกลือไปพรมตามที่อยู่ของมานานังเกลหรือพรมไปตามลำตัวท่อนบนของมันหรือบริเวณรอยต่อที่แยกตัวออกนั้น มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนที่เป็นอันตรายของมานานังเกลก็คือของเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์ซึ่งจะเข้าไปทำลายเด็กในท้องได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็กและยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย
สายพันธุ์ที่สองมีชื่อว่า มันดูรูโก คือพวกที่เป็นหญิงงามและเอาความงามเข้าล่อเหยื่อที่เป็นชาย หลังจากได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เคราะห์รายแล้ว มันดูรูโกก็จะใช้ร่างของสามีเป็นแหล่งอาหารทันที ซึ่งวิธีการก็คือจะแอบดูดเลือดจากซอกคอของสามีทุกวัน จนกว่าเลือดจะหมดตัวและแห้งตายไป มันจึงจะออกไปหาเหยื่อรายใหม่ สายพันธุ์ที่สามมีชื่อว่ามันกูกูรัม คือพวกที่เป็นแม่มดที่ใช้ตุ๊กตาสาปแช่งเพื่อเสกแมลง เสกก้างปลา หรือเสกเศษแก้วเข้าตัวคนจนถึงแก่ความตาย ส่วนอีกสองสายพันธุ์นั่นคือ พวกกินซากศพ กับพวกที่สามารถแปลงร่างได้ ซึ่งมันจะแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็นขณะออกล่าเหยื่อ
8. ผีหญิงชุดขาวกลางถนน จากประเทศฟิลิปปินส์
ผีตนนี้อาละวาดอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีเรื่องเล่าว่าบริเวณที่เป็นถนนสายนี้ ในอดีตมีหญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ศพที่พบในภายหลังนั้น ส่วนที่เป็นใบหน้าได้หายไป นับตั้งแต่นั้นมาวิญญาณของเธอก็จะปรากฏตัวอยู่ในรูปของผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวแต่ไร้หน้า และยืนเลือดท่วมอยู่กลางถนนตอนกลางคืน คอยดักเหยื่อที่ขับรถผ่านไปมาอยู่ในเส้นทางนี้เสมอ มีคำแนะนำว่าถ้าผู้ขับขี่จำเป็นต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ในยามวิกาลก็จงอย่ามองกระจกหลัง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงชุดขาวกลางถนนจะเข้ามาในรถในสภาพเลือดท่วมตัว มีชาวบ้านหลายรายถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอกจนจับไข้หัวโกร๋นกันมาแล้ว มีเรื่องเล่าอีกว่า ชายหนุ่มสองคนขับรถไปทำธุระโดยที่ต้องผ่านถนนเส้นนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษ พอถึงจุดเกิดเหตุทั้งคู่ก็เห็นหญิงสาวชุดขาวออกมายืนขวางอยู่กลางถนน ทำท่าเหมือนจะขอความช่วยเหลือ จนคนขับรถต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง พวกเขาไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนสวย เพราะหญิงสาวไว้ผมยาวดำขลับ รูปร่างดี เมื่อพวกเขาขับรถเข้าไปใกล้ๆ หวังจะให้ความช่วยเหลือ ก็เห็นเธอยื่นมือขาวซีดออกมา ทำท่าจะแตะประตูรถ ชาวหนุ่มทั้งสองก็มองไปที่ใบหน้าของเธอ แต่ก็พบว่าใบหน้านั้นขาวโพลนและว่างเปล่า ไม่มีตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงร้องไห้ของผู้หญิง เมื่อพวกเขารู้ว่าถูกผีหลอกแล้ว คนขับก็รีบออกรถและขับหนีอย่างไม่คิดชีวิตและไม่กล้าผ่านไปในเส้นทางนั้นอีกเลย
9. ผีกองกอย จากประเทศลาว
ประเทศลาวเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทย ที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน เรื่องราวของภูติผีปีศาจก็เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกัน โดยกองกอยเป็นผีป่า[/url]ชนิดหนึ่งมีปากเป็นท่อคล้ายกับแมลงวัน ลักษณะรูปร่างเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เวลาไปไหนมาไหนจะใช้วิธีกระโดดไปด้วยขาข้างเดียวนั้น พร้อมส่งเสียงร้องว่า กองกอย กองกอย ไปตลอดทางเป็นที่มาของชื่อกองกอยนั่นเอง หน้าตาของผีกองกอยจะคล้ายลิงหรือค่าง ดังนั้นบางคนจึงเรียกผีกองกอยว่า ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง คนเดินป่าเชื่อกันว่าผีกองกอยจะแอบเข้ามาดูดเลือดคนที่เดินป่าตอนที่นอนหลับทุกครั้งที่มีโอกาส จึงมีวิธีแก้เคล็ดป้องกันคือ ให้นอนไขว้หรือนอนให้เท้าชิดกันไว้ทั้งสองข้าง ผีกองกอยจะไม่เข้ามายุ่ง และอย่านอนให้เท้าเลยออกมานอกเต๊นท์นอนเด็ดขาด
10. ผีปอบ จากประเทศลาว
ในประเทศลาวก็มีความเชื่อเรื่องผีปอบเหมือนกับประเทศไทย โดยเชื่อกันว่าผีปอบเกิดจากผู้ที่ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจเวทมนต์คาถาไปทำร้ายผู้อื่นได้ แต่วิชาอาคมเหล่านี้ก็มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ซึ่งห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด หากกระทำผิดข้อห้ามจะเกิดการผิดครู วิญญาณของบรมครูจะลงโทษหรือสาปแช่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งก็เกิดจากคนเล่นคาถาอาคม ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ทำให้ของวิชาอาคมต่างๆ เข้าตัวกลายเป็นผีปอบในที่สุด
ผีปอบยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น ปอบธรรมดา คือคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง เมื่อคนๆ นี้ตายไป ปอบที่สิงอยู่ก็จะตายตามไปด้วย ประเภทต่อมาก็คือปอบเชื้อ หมายถึง ครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไปเหมือนเป็นกรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามก็ต้องเป็นผีปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ต่อมาคือปอบแลกหน้า หมายถึง ผีปอบที่เจ้าเล่ห์ ชอบเอาความผิดไปโยนให้คนอื่น เวลาที่เข้าสิงใคร เมื่อสอบถามว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยง ปอบจะไม่บอกความจริงแต่จะไปกล่าวโทษว่าคนนั้นคนนี้ โดยที่ผู้ถูกพาดพิงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ประเภทสุดท้ายเรียกว่า ปอบกักกึก ซึ่ง กึก ในภาษาอีสานแปลว่า ใบ้ เมื่อมีคนถามปอบจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใคร มีใครใช้ให้มาเข้าสิง
ผู้ที่ถูกปอบสิงจะมีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนจะแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีท่าทีอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกตับหมู ตับไก่ เครื่องใน เลือดสดๆ มาให้กิน เวลากินก็จะแสดงอาการตะกละตะกลาม มูมมาม และกินได้มากผิดปกติ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าผู้ป่วยถูกปอบเข้าสิงก็จะไปตามหมอผีหรือหมอธรรมให้มาไล่ปอบออกไป
12 เรื่องจริงของวิดีโอเกม
01. เกมเริ่มต้นมาจากยุคสงคราม
จุดเริ่มต้นของวิดีโอเกมมาจากยุคสงคราม ที่พวกหน่วยยุทธการได้จำลองการรบในสมรภูมิมาใส่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวนผลลัพท์ต่างๆ จนกระทั้งได้มีการพัฒนาเจ้าสิ่งนี้ไปสู่รูปแบบบันเทิงก่อนจะพัฒนาเป็นวิดีโอเกมต่อไป
02. Magnavox Odyssey เครื่องเกมระบบแรก
หลังจากมีแนวคิดที่จะทำเกมเพื่อความบันเทิง เจ้าเครื่องเล่นเกมเครื่องแรกของโลกก็ถือกำเนิดมาคือ Magnavox Odyssey โดยเกมฮิตที่ขายดีที่สุดคือ Table Tennis แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในแง่การตลาดมากเท่าที่ควร
03. ฮิตระเบิดกับเกมตู้ Space Invader
บริษัท ไทโท ของญี่ปุ่นได้ออกเกมตู้ Space Invader ในปี 1978 โดยเป็นเกมยิงเอเลี่ยนด้วยกราฟิกแบบง่ายๆ แต่ฮิตระเบิด ทุกคนต้องมาหยอดเหรียญเล่นเจ้าเกมนี้จนเหรียญขาดตลาดไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
04. ยุคทองของเกมตู้
หลังกระแสฮิตทุกหัวระแหงของSpace Invader ทำให้เราเห็นเกมฮิตรุ่นต่อไปอย่าง Pacman โดยเกมตู้นี้ยังฮิตมาจนถึงยุค 90 กับ Street fighter 2 หรือ Double Dragon และก็ซาลงไปด้วยกระแสเกมคอนโซล
05. Atari ยุคลองผิดลองถูกของเกมคอนโซล
หลังจากเจ้า Magnavox Odyssey ก็มาถึงเครื่อง Atari โดยเกมแรกที่ออกมามีชื่อว่า ปอง แม้จะได้รับความนิยมช่วงแรก แต่แล้วอาตาริก็ต้องปิดตำนานลงในช่วงยุค 80
06. Nintendo Famicom เครื่อง[ur=http://www.anyapedia.com/2015/04/12_24.htmll]เกม[/url]คลาสสิกที่มีแทบทุกบ้าน
Famicom เป็นเครื่องเล่นเกมที่บุกเบิกวงการเกมคอนโซลยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เราคงไม่ลืมเกมอย่างคอนทร้าร็อคแมน หรือ มาริโอ้ รวมถึงเกมรถถัง และดราก้อนบอลเปิดไพ่กันแน่
07. Sony Play Station one เปลี่ยนโฉมหน้าวงการเกม
หลังจาก Nintendo ผูกขาดวงการเกมคอนโซลมานาน Sony ก็โดดมาแย่งความสำเร็จด้วยการเปิดตัวเครื่อง Play Station one โดยสร้างมาตรฐานใหม่ของการเล่นเกมโดยใช้แผ่นซีดีทำให้คู่แข่งอย่าง Sega ต้องแพ้ไป
08. Microsoft เกิดใหม่กับ Xbox 360
Microsoft กลับมาเป็นพี่ใหญ่วงการเกมอีกครั้งด้วยเครื่อง Xbox 360 ที่ชิงเปิดตัวก่อน PS 3 ระบบออนไลน์ในเครื่องเจเนอเรชั่นนี้ ก็กลายเป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องรุ่นต่อมา
09. Next Generation
ปัจจุบันเป็นการแข่งขันระหว่างสองค่ายใหญ่อย่าง Sony กับเครื่อง Play Station 4 และ Microsoft กับเครื่อง Xbox one โดยคาดกันว่าการแข่งขันในเจนนี้จะไม่มีใครครองตลาดอีกแล้ว เพราะความสามารถและศักยภาพของเครื่องทั้งสองใกล้เคียงกันมาก
10. คลาสสิก vs โมเดิร์น
ในยุคปัจจุบัน วีดีโอเกมพัฒนามาถึงจุดที่มีกราฟิกสุดอลัง แต่หลายครั้งคอเกมก็โหยหาเกมระดับแค่ 8 บิท แต่แฝงด้วยเสน่ห์อยู่ดี บางคนชอบเกมซีรีส์Final Fantasy ในแบบคลาสสิกเดิมๆ มากกว่าที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน
11. เกมและคาแรกเตอร์ระดับตำนาน
มีเกมซีรีส์ที่ครองใจเกมเมอร์ได้มากมายทั้ง Final Fantasy, Rockman, Mario bros และ Castlevania เป็นต้น คาแรกเตอร์เหล่านี้คือพวกระดับขึ้นหิ้งของวงการเกม และทำภาคต่อออกมามากมายไม่รู้จบ ซึ่งแทบทั้งหมดมาจากวิดีโอเกมในยุคคลาสสิคทั้งนั้น
12. การละเมิดลิขสิทธิ์
ในเจนล่าสุดเริ่มเห็นแสงสว่างป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์บ้างแล้วโดยบังคับให้ออนไลน์ก่อนเล่น หรือการขายเกมแบบดาวน์โหลดผ่านSteam แม้ว่าเกมเมอร์จะไม่ชอบใจมากนัก แต่ทางผู้ผลิตจำเป็นต้องทำ
จุดเริ่มต้นของวิดีโอเกมมาจากยุคสงคราม ที่พวกหน่วยยุทธการได้จำลองการรบในสมรภูมิมาใส่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวนผลลัพท์ต่างๆ จนกระทั้งได้มีการพัฒนาเจ้าสิ่งนี้ไปสู่รูปแบบบันเทิงก่อนจะพัฒนาเป็นวิดีโอเกมต่อไป
02. Magnavox Odyssey เครื่องเกมระบบแรก
หลังจากมีแนวคิดที่จะทำเกมเพื่อความบันเทิง เจ้าเครื่องเล่นเกมเครื่องแรกของโลกก็ถือกำเนิดมาคือ Magnavox Odyssey โดยเกมฮิตที่ขายดีที่สุดคือ Table Tennis แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในแง่การตลาดมากเท่าที่ควร
03. ฮิตระเบิดกับเกมตู้ Space Invader
บริษัท ไทโท ของญี่ปุ่นได้ออกเกมตู้ Space Invader ในปี 1978 โดยเป็นเกมยิงเอเลี่ยนด้วยกราฟิกแบบง่ายๆ แต่ฮิตระเบิด ทุกคนต้องมาหยอดเหรียญเล่นเจ้าเกมนี้จนเหรียญขาดตลาดไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
04. ยุคทองของเกมตู้
หลังกระแสฮิตทุกหัวระแหงของSpace Invader ทำให้เราเห็นเกมฮิตรุ่นต่อไปอย่าง Pacman โดยเกมตู้นี้ยังฮิตมาจนถึงยุค 90 กับ Street fighter 2 หรือ Double Dragon และก็ซาลงไปด้วยกระแสเกมคอนโซล
05. Atari ยุคลองผิดลองถูกของเกมคอนโซล
หลังจากเจ้า Magnavox Odyssey ก็มาถึงเครื่อง Atari โดยเกมแรกที่ออกมามีชื่อว่า ปอง แม้จะได้รับความนิยมช่วงแรก แต่แล้วอาตาริก็ต้องปิดตำนานลงในช่วงยุค 80
06. Nintendo Famicom เครื่อง[ur=http://www.anyapedia.com/2015/04/12_24.htmll]เกม[/url]คลาสสิกที่มีแทบทุกบ้าน
Famicom เป็นเครื่องเล่นเกมที่บุกเบิกวงการเกมคอนโซลยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เราคงไม่ลืมเกมอย่างคอนทร้าร็อคแมน หรือ มาริโอ้ รวมถึงเกมรถถัง และดราก้อนบอลเปิดไพ่กันแน่
07. Sony Play Station one เปลี่ยนโฉมหน้าวงการเกม
หลังจาก Nintendo ผูกขาดวงการเกมคอนโซลมานาน Sony ก็โดดมาแย่งความสำเร็จด้วยการเปิดตัวเครื่อง Play Station one โดยสร้างมาตรฐานใหม่ของการเล่นเกมโดยใช้แผ่นซีดีทำให้คู่แข่งอย่าง Sega ต้องแพ้ไป
08. Microsoft เกิดใหม่กับ Xbox 360
Microsoft กลับมาเป็นพี่ใหญ่วงการเกมอีกครั้งด้วยเครื่อง Xbox 360 ที่ชิงเปิดตัวก่อน PS 3 ระบบออนไลน์ในเครื่องเจเนอเรชั่นนี้ ก็กลายเป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องรุ่นต่อมา
09. Next Generation
ปัจจุบันเป็นการแข่งขันระหว่างสองค่ายใหญ่อย่าง Sony กับเครื่อง Play Station 4 และ Microsoft กับเครื่อง Xbox one โดยคาดกันว่าการแข่งขันในเจนนี้จะไม่มีใครครองตลาดอีกแล้ว เพราะความสามารถและศักยภาพของเครื่องทั้งสองใกล้เคียงกันมาก
10. คลาสสิก vs โมเดิร์น
ในยุคปัจจุบัน วีดีโอเกมพัฒนามาถึงจุดที่มีกราฟิกสุดอลัง แต่หลายครั้งคอเกมก็โหยหาเกมระดับแค่ 8 บิท แต่แฝงด้วยเสน่ห์อยู่ดี บางคนชอบเกมซีรีส์Final Fantasy ในแบบคลาสสิกเดิมๆ มากกว่าที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน
11. เกมและคาแรกเตอร์ระดับตำนาน
มีเกมซีรีส์ที่ครองใจเกมเมอร์ได้มากมายทั้ง Final Fantasy, Rockman, Mario bros และ Castlevania เป็นต้น คาแรกเตอร์เหล่านี้คือพวกระดับขึ้นหิ้งของวงการเกม และทำภาคต่อออกมามากมายไม่รู้จบ ซึ่งแทบทั้งหมดมาจากวิดีโอเกมในยุคคลาสสิคทั้งนั้น
12. การละเมิดลิขสิทธิ์
ในเจนล่าสุดเริ่มเห็นแสงสว่างป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์บ้างแล้วโดยบังคับให้ออนไลน์ก่อนเล่น หรือการขายเกมแบบดาวน์โหลดผ่านSteam แม้ว่าเกมเมอร์จะไม่ชอบใจมากนัก แต่ทางผู้ผลิตจำเป็นต้องทำ
5 สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับแบทแมน
ข่าวการเปลี่ยนตัวแบทแมน จาก ‘คริสเตียน เบล’ เป็น ‘เบน แอฟเฟล็ก’ ในหนังที่พูดถึงการ พบกันของ 2 ซูเปอร์ฮีโร่ดัง ซูเปอร์แมนและ
แบทแมนซึ่งจะฉายในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำแฟนหนังอัศวินรัตติกาลแสดงความเห็นไปต่างๆ นานา ไม่ว่าคุณจะอยากให้ใครได้บทนี้ นี่คือบาง
เรื่องของอัศวินรัตติกาลที่คุณอาจไม่เคยรู้
1. ผู้ที่รับบท ‘แบทแมน’ ยาวนานที่สุดคือ ‘เควิน คอนรอย’ คนคนนี้ให้เสียงแบทแมนมาทั้งภาคหนังการ์ตูน, วิดีโอเกม และในหนังแบทแมน
กินเวลารวม 12 ปี! นอกจากจะให้เสียงคอนรอยยังช่วยให้แคแรกเตอร์แบทแมนมีความชัดเจนมากขึ้น คือจริงๆ แล้วในหนังสือการ์ตูนระบุว่า เวลาแบทแมนสวมหน้ากากและเสื้อคลุมเขาจะปลอมทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผู้คนจำได้ แต่ผู้ที่มารับบทนี้ก่อนคอนรอยมักแสดงบทแบทแมนและ
บรูซ เวย์น ดูใกล้เคียงกัน จนเมื่อคอนรอยมาเป็นแบทแมน เขาได้ปรับโทนเสียงตอนเป็นแบทแมนกับตอนกลายเป็นเศรษฐีให้ดูต่างกันอย่างชัดเจน
2. เดิมทีศัตรูของแบทแมนบางตัวดูเป็นสัตว์มากกว่าที่เราเห็นกันในหนัง อย่างแคทวูแมน แรกเริ่มเดิมทีเป็นเจ้าเหมียวขนปุยใส่หน้ากากปิดใบหน้า ส่วนมนุษย์เพนกวินตัวร้ายจริงๆ แล้วก็มีที่มาจากตัวการ์ตูนเพนกวินที่ใช้ในการโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง...แว่วว่าเพนกวินต้นฉบับนั้นจริงๆ แล้วดูเป็นการ์ตูนและดูไฮเปอร์กว่าที่เห็นในหนังเยอะ!
3. มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าแบทแมนถูกสร้างเป็นหนังครั้งแรกโดยทิม เบอร์ตัน เมื่อพ.ศ. 2533 หรือไม่ก็เข้าใจว่าหนังแบทแมนเรื่องแรกถูกสร้างพ.ศ. 2509 แต่ความจริงแล้ว...ผิดทั้งคู่!หนังแบทแมนเรื่องแรกของโลกถูกสร้างเมื่อปี 2507 ในชื่อ ‘Batman, Dracula’ ผู้กำ
กับและผู้สร้างคือ แอนดี วอร์ฮอล แต่มีแค่ไม่กี่คนที่ได้ชมเรื่องนี้ ทำไมแฟนแบทแมนถึงรู้? เพราะมันมีภาพฟุตเทจที่หลงเหลืออยู่ของหนังเรื่องดังกล่าวมาโผล่ในหนังสารคดีเรื่อง ‘Jack Smith and the destruction of Atlantis’ (2543) กำกับโดย แมรี จอร์แดน
4. ปี 2497 เฟรเดอริก เวิร์ธแธม จิตแพทย์ชาวเยอรมัน-อเมริกันได้พิมพ์หนังสือ ‘Seduction of The Innocent’ เป็นหนังสือที่แสดงความเห็นว่าอาชญากรรมและความรุนแรงที่เห็นๆ ในหนังสือการ์ตูนนั้นจะมาล้างสมองเด็กๆ เวิร์ธแธมได้พุ่งเป้าไปที่แบทแมน และโรบิ้นเป็นคู่เกย์ แม้หลายคนจะมองว่านี่เป็นเรื่องฮา แต่ก็มีหลายคนเชื่อว่าคำกล่าวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนผู้สร้างแบทแมน (หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็
ต้องเจาะไปที่ บรูซ เวย์น) หาอะไรมาทำให้หมอนี่ดูเป็นเสือผู้หญิงมากขึ้น เพื่อจะได้รอดพ้นจากคำครหานี้
5. ชื่อเมือง ‘ก็อทแธม’ ได้มาจากการที่นักเขียนคนหนึ่งเปิดสมุดโทรศัพท์ของเมืองนิวยอร์กแบบสุ่มๆ แล้วก็พบกับคำ ‘ก็อตแธม จิวเลอร์ส’ ส่วนสถานที่ตั้งเมืองก็อทแธมนั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ บางครั้งมันก็ถูกตั้งอยู่แถวกลางตะวันตก หรืออยู่ใกล้ๆ กับบ้านเกิดของซูเปอร์แมน อย่างไรก็ตาม ที่ยอมรับกันมากที่สุดคือก็อทแธมอยู่แถวชายฝั่งตะวันออก แบบเจาะจงหน่อยก็อยู่ในนิวเจอร์ซีย์ เอ่อ มันไม่เคยถูกระบุชัดๆ
ในการ์ตูนนะ แต่มีแฟนบางคนที่อ่านแล้วสังเกตเห็นคำว่า “ก็อธแฮม ซิตี้, นิวเจอร์ซีย์” บนป้ายทะเบียนรถ และครั้งหนึ่งบนใบขับขี่ของตัวละครพลขับ
แบทแมนซึ่งจะฉายในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำแฟนหนังอัศวินรัตติกาลแสดงความเห็นไปต่างๆ นานา ไม่ว่าคุณจะอยากให้ใครได้บทนี้ นี่คือบาง
เรื่องของอัศวินรัตติกาลที่คุณอาจไม่เคยรู้
1. ผู้ที่รับบท ‘แบทแมน’ ยาวนานที่สุดคือ ‘เควิน คอนรอย’ คนคนนี้ให้เสียงแบทแมนมาทั้งภาคหนังการ์ตูน, วิดีโอเกม และในหนังแบทแมน
กินเวลารวม 12 ปี! นอกจากจะให้เสียงคอนรอยยังช่วยให้แคแรกเตอร์แบทแมนมีความชัดเจนมากขึ้น คือจริงๆ แล้วในหนังสือการ์ตูนระบุว่า เวลาแบทแมนสวมหน้ากากและเสื้อคลุมเขาจะปลอมทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผู้คนจำได้ แต่ผู้ที่มารับบทนี้ก่อนคอนรอยมักแสดงบทแบทแมนและ
บรูซ เวย์น ดูใกล้เคียงกัน จนเมื่อคอนรอยมาเป็นแบทแมน เขาได้ปรับโทนเสียงตอนเป็นแบทแมนกับตอนกลายเป็นเศรษฐีให้ดูต่างกันอย่างชัดเจน
2. เดิมทีศัตรูของแบทแมนบางตัวดูเป็นสัตว์มากกว่าที่เราเห็นกันในหนัง อย่างแคทวูแมน แรกเริ่มเดิมทีเป็นเจ้าเหมียวขนปุยใส่หน้ากากปิดใบหน้า ส่วนมนุษย์เพนกวินตัวร้ายจริงๆ แล้วก็มีที่มาจากตัวการ์ตูนเพนกวินที่ใช้ในการโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง...แว่วว่าเพนกวินต้นฉบับนั้นจริงๆ แล้วดูเป็นการ์ตูนและดูไฮเปอร์กว่าที่เห็นในหนังเยอะ!
3. มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าแบทแมนถูกสร้างเป็นหนังครั้งแรกโดยทิม เบอร์ตัน เมื่อพ.ศ. 2533 หรือไม่ก็เข้าใจว่าหนังแบทแมนเรื่องแรกถูกสร้างพ.ศ. 2509 แต่ความจริงแล้ว...ผิดทั้งคู่!หนังแบทแมนเรื่องแรกของโลกถูกสร้างเมื่อปี 2507 ในชื่อ ‘Batman, Dracula’ ผู้กำ
กับและผู้สร้างคือ แอนดี วอร์ฮอล แต่มีแค่ไม่กี่คนที่ได้ชมเรื่องนี้ ทำไมแฟนแบทแมนถึงรู้? เพราะมันมีภาพฟุตเทจที่หลงเหลืออยู่ของหนังเรื่องดังกล่าวมาโผล่ในหนังสารคดีเรื่อง ‘Jack Smith and the destruction of Atlantis’ (2543) กำกับโดย แมรี จอร์แดน
4. ปี 2497 เฟรเดอริก เวิร์ธแธม จิตแพทย์ชาวเยอรมัน-อเมริกันได้พิมพ์หนังสือ ‘Seduction of The Innocent’ เป็นหนังสือที่แสดงความเห็นว่าอาชญากรรมและความรุนแรงที่เห็นๆ ในหนังสือการ์ตูนนั้นจะมาล้างสมองเด็กๆ เวิร์ธแธมได้พุ่งเป้าไปที่แบทแมน และโรบิ้นเป็นคู่เกย์ แม้หลายคนจะมองว่านี่เป็นเรื่องฮา แต่ก็มีหลายคนเชื่อว่าคำกล่าวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนผู้สร้างแบทแมน (หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็
ต้องเจาะไปที่ บรูซ เวย์น) หาอะไรมาทำให้หมอนี่ดูเป็นเสือผู้หญิงมากขึ้น เพื่อจะได้รอดพ้นจากคำครหานี้
5. ชื่อเมือง ‘ก็อทแธม’ ได้มาจากการที่นักเขียนคนหนึ่งเปิดสมุดโทรศัพท์ของเมืองนิวยอร์กแบบสุ่มๆ แล้วก็พบกับคำ ‘ก็อตแธม จิวเลอร์ส’ ส่วนสถานที่ตั้งเมืองก็อทแธมนั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ บางครั้งมันก็ถูกตั้งอยู่แถวกลางตะวันตก หรืออยู่ใกล้ๆ กับบ้านเกิดของซูเปอร์แมน อย่างไรก็ตาม ที่ยอมรับกันมากที่สุดคือก็อทแธมอยู่แถวชายฝั่งตะวันออก แบบเจาะจงหน่อยก็อยู่ในนิวเจอร์ซีย์ เอ่อ มันไม่เคยถูกระบุชัดๆ
ในการ์ตูนนะ แต่มีแฟนบางคนที่อ่านแล้วสังเกตเห็นคำว่า “ก็อธแฮม ซิตี้, นิวเจอร์ซีย์” บนป้ายทะเบียนรถ และครั้งหนึ่งบนใบขับขี่ของตัวละครพลขับ
24 สิ่งอันตรายทำให้ตายได้บนโลกใบนี้
24 สิ่งอันตรายทำให้ตายได้บนโลกใบนี้
1. เต้ามรณะ
เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา แถวลานจอดรถเทรลเลอร์ ที่ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ดอนนา แลนจ์ หญิงใหญ่อเมริกันวัย 51 ปี ทำให้คู่รักของเธอต้องตายเพราะหายใจไม่ออก ขณะซัดกันตอนเมา ด้วยเต้าขนาด 38 DD ของเธอ!
2. ตดอันตราย
มาร์ค ฮิกกินส์ ไอ้หนุ่มอเมริกัน ตดพร่ำเพรื่อมากไปหน่อยในงานปาร์ตี้ และเมื่อใครบางคนทักเข้าผลคือโดนนายฮิกกินส์จ้วงแทงไปซะ 4 ราย และหนึ่งในนั้นถึงขั้นตายเพราะตดเลยทีเดียว!
3. ถนนสายมรณะ
เมื่อปี 2533 มีรถชนกันแหลกลาญบนถนนหลวง 75 ในเทนเนสซี ถึง 99 คัน มีคนม้วยมรณาไปทั้งสิ้น 12 ราย และอีก 42 รายอาการร่อแร่
4. ยาอันตราย
ไม่ใช่โคเคน ยาอี ยาเค ยาบ้า หรือเฮโรอีนที่เป็นยาอันตรายสุดๆ สามารถฆ่าใครได้ แต่มันคือยานอนหลับอ็อกซีคอนติน กับ วิโคดิน ต่างหาก!
5. ด.ญ.โคตรอันตราย
ตอนที่ แมรี เบล อายุ 10 ขวด เธอเคยก่ออาชญากรรมร้ายแรง ด้วยการฆ่าน้อง มาร์ติน บราวน์ วัย 4 ขวบ และอีกหนึ่งปีต่อมา เธอก็ฆ่าน้อง ไบรอัน โฮว์ วัย 3 ขวบไปอีกราย แม้เด็กทำอะไรไม่ผิดเพราะเป็นผู้เยาว์ แต่ผลของการฆ่าเพื่อนตัวน้อยๆ ของเธอคือโทษจำคุก 12 ปี
ุ6. ไซโคลนมรณะ
เมื่อปี 2513 พายุไซโคลนนามโบลา เข้าถล่มอีสต์ปากีสถาน (หรือบังกลาเทศในปัจจุบัน) ฆ่าคนไปทั้งสิ้น 300,000 - 500,000 คน
7. ตัวตลกมรณะ
ตัวตลกนาม โพโก เดอะคลาวน์ หรือนาย เวย์น เกซี ฆ่าเด็กๆ และผู้ใหญ่ไปทั้งหมด 24 ราย โดยส่วนใหญ่หลังจากฆ่าแล้ว เขาจะเอาไปฝังไว้ใต้บ้านตัวเอง และที่โดนจับได้ เพราะกลิ่นของศพหึ่งมากจนไปเตะจมูกม๋าต๋า!
8. อาหารโคตรเป็นพิษ
เมื่อไม่นานมานี้ที่อินเดีย เด็กนักเรียนถึง 23 รายในแพตนา ต้องตายหมู่ภายหลังทานอาหารเที่ยงที่มียาฆ่าแมลงปนเปื้อนมาด้วย
9. เมล็ดพันธุ์อันตราย
เมล็ดละหุ่งเล็กๆ แค่ 4 เม็ด มีอันตรายมากพอจะฆ่าใครสักคน เพราะในเมล็ดละหุ่งมีสารไรซินซึ่งมีพิษทำให้เราถึงฆาตได้
10. ภาพยนตร์อันตราย
‘The Conqueror’ เมื่อปี 2499 นำแสดงโดย จอห์น เวย์น คือหนังที่มีทีมงานตายเพราะมะเร็งเฮงซวย มากกว่า 90 คน เนื่องจากมีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ห่างจากกองถ่ายไป 220 กม.!
11. คนแคระโคตรอันตราย
บอนนี พาร์คเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘บอนนี กับไคลด์’ คู่รักนักปล้นโคตรคลาสสิก คือมนุษย์ตัวเล็กที่อันตรายสุดๆ ในโลก ตลอดชีวิตด้วยความสูงไม่ถึง 147 ซม. บอนนีฆ่าคนไปไม่ต่ำกว่า 13 ศพ
12. ทอมโหด
ระหว่างปี 2532-2533 ไอลีน ‘มอนส์เตอร์’ วอร์นอส เป็นโสเภณี และสาวเลสเบี้ยนที่ฆ่าคนไปทั้งหมด 7 ศพ แต่จากความโหด อีก 13 ปีต่อมาชีวิตของเธอก็กลายมาเป็นหนังออสการ์ชื่อ ‘Monster’!
13. รถไฟเหาะมรณะ
บิก ดิปเปอร์ รถไฟเหาะที่ แบตเทอร์ซีพาร์คฟันแฟร์ ในลอนดอน เสียวสุดๆ กว่าทุกรอบที่เคยวิ่ง เมื่อมันเกิดอุบัติเหตุในปี 2513 คร่าชีวิตเด็กๆ ไป 5 คน เจ็บอีก 13 ราย
14. หมานำทางอันตรายสุดๆ
‘ลักกี้’ หมานำทางแสนรู้ พาเจ้าของของมันเดินไปเจอสถานการณ์อันตรายถึง 4 ครั้ง ครั้งแรกคือพาไปตัดหน้ารถบัส ครั้งต่อมาพาเดินตกท่าน้ำ ครั้งที่ 3 พาไปขวางรถไฟและครั้งที่ 4 ลงไปเดินในทางด่วน!
15. ลิงมรณะ
บาบูน คือสายพันธุ์จ๋อที่โหดสุดๆ ในโลก แต่ละปีมีคนโดนพวกมันทำร้ายจนตายกว่า 100 คน และเมื่อปี 2553 แก๊งบาบูนยังเคยเข้าถล่มเมืองเคปทาวน์เพื่อเมากันเละ ก่อนจะออกไปคร่าชีวิตหมาเกรดเดนผู้น่าสงสารไป 1 ตัว
16. นางเอกหนังโป๊โคตรอันตราย
ระหว่างรับจ๊อบปาร์ตี้เซ็กซ์ แช็กเกอร์ อมานดานางเอกหนังโป๊กับ เจสัน แอนดรูว์ส คู่รักของเธอร่วมกันฆ่าคนไป 1 ศพ แล้วขโมยเงินไป 1 แสนเหรียญ
17. เซ็กซ์ทอยมรณะ
เมื่อปี 2554 แซม แมซโซลา ตายคาที่ขณะมีเซ็กซ์โดยสวมใส่หน้ากากหนัง และ ในสภาพถูกล่ามโซ่ติดไว้กับเตียง
18. โคตรสงคราม
ระหว่างปี 2394-2407 กองกำลังไทปิง ในเมืองจีน ฆ่าคนไปถึง 100 ล้านศพ หรือ 1 ใน 8 ของประชากรโลกในช่วงเวลานั้น!
19. แมงมุมโคตรอันตราย
ฟันเนลเว็บ คือแมงมุมสายพันธุ์โคตรอันตราย ใครโดนมันกัดสามารถไปเยี่ยมนรกได้ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที
20. ทำเสียวอันตราย
การช่วยตัวเองแบบ Autoerotic Asphyxiation หรือการบีบ-รัดคอไปด้วยทำให้มีคนตายไปแล้วกว่า 1,000 ราย เดวิด คาราดีน หรือ
‘บิล’ จาก ‘Kill Bill’ ก็มาตายเสียวๆ แบบนี้ในโรงแรมบ้านเรา
21. โคตรแผ่นดินไหว
โคตรแผ่นดินสะเทือนครั้งเลวร้ายสุดๆ ของมวลมนุษยชาติ คือเมื่อปี 2099 แผ่นดินไหวที่เมืองชานสี เมืองจีน คร่าประชาชนไปถึง 830,000 ราย
22. ปืนโคตรอันตราย
นับตั้งแต่มันถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2490 ปืนเอเค-47 คืออาวุธที่ใช้ยิงคนดับราว 250,000 คนอยู่ทุกปี!
23. วิดีโอเกมมรณะ
ในปี 2548 ศาลอเมริการะบุถึงเหตุที่นาย เดวิน มัวร์ ฆ่าตำรวจตายไป 3 ราย เพราะเขาแยกไม่ออกระหว่างชีวิตจริงกับเกม GTA ที่ชอบเล่น
24. ส้วมอันตรายสุดๆ
เมื่อปี 2488 ลูกเรือดำน้ำเยอรมันต้องตายไป 4 ศพขณะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องเพราะสุขาในเรืออูดันพลิกคว่ำแล้วปล่อยแก๊สคลอรีนออกมาคลุ้งภายในเรือเต็มไปหมด!
1. เต้ามรณะ
เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา แถวลานจอดรถเทรลเลอร์ ที่ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ดอนนา แลนจ์ หญิงใหญ่อเมริกันวัย 51 ปี ทำให้คู่รักของเธอต้องตายเพราะหายใจไม่ออก ขณะซัดกันตอนเมา ด้วยเต้าขนาด 38 DD ของเธอ!
2. ตดอันตราย
มาร์ค ฮิกกินส์ ไอ้หนุ่มอเมริกัน ตดพร่ำเพรื่อมากไปหน่อยในงานปาร์ตี้ และเมื่อใครบางคนทักเข้าผลคือโดนนายฮิกกินส์จ้วงแทงไปซะ 4 ราย และหนึ่งในนั้นถึงขั้นตายเพราะตดเลยทีเดียว!
3. ถนนสายมรณะ
เมื่อปี 2533 มีรถชนกันแหลกลาญบนถนนหลวง 75 ในเทนเนสซี ถึง 99 คัน มีคนม้วยมรณาไปทั้งสิ้น 12 ราย และอีก 42 รายอาการร่อแร่
4. ยาอันตราย
ไม่ใช่โคเคน ยาอี ยาเค ยาบ้า หรือเฮโรอีนที่เป็นยาอันตรายสุดๆ สามารถฆ่าใครได้ แต่มันคือยานอนหลับอ็อกซีคอนติน กับ วิโคดิน ต่างหาก!
5. ด.ญ.โคตรอันตราย
ตอนที่ แมรี เบล อายุ 10 ขวด เธอเคยก่ออาชญากรรมร้ายแรง ด้วยการฆ่าน้อง มาร์ติน บราวน์ วัย 4 ขวบ และอีกหนึ่งปีต่อมา เธอก็ฆ่าน้อง ไบรอัน โฮว์ วัย 3 ขวบไปอีกราย แม้เด็กทำอะไรไม่ผิดเพราะเป็นผู้เยาว์ แต่ผลของการฆ่าเพื่อนตัวน้อยๆ ของเธอคือโทษจำคุก 12 ปี
ุ6. ไซโคลนมรณะ
เมื่อปี 2513 พายุไซโคลนนามโบลา เข้าถล่มอีสต์ปากีสถาน (หรือบังกลาเทศในปัจจุบัน) ฆ่าคนไปทั้งสิ้น 300,000 - 500,000 คน
7. ตัวตลกมรณะ
ตัวตลกนาม โพโก เดอะคลาวน์ หรือนาย เวย์น เกซี ฆ่าเด็กๆ และผู้ใหญ่ไปทั้งหมด 24 ราย โดยส่วนใหญ่หลังจากฆ่าแล้ว เขาจะเอาไปฝังไว้ใต้บ้านตัวเอง และที่โดนจับได้ เพราะกลิ่นของศพหึ่งมากจนไปเตะจมูกม๋าต๋า!
8. อาหารโคตรเป็นพิษ
เมื่อไม่นานมานี้ที่อินเดีย เด็กนักเรียนถึง 23 รายในแพตนา ต้องตายหมู่ภายหลังทานอาหารเที่ยงที่มียาฆ่าแมลงปนเปื้อนมาด้วย
9. เมล็ดพันธุ์อันตราย
เมล็ดละหุ่งเล็กๆ แค่ 4 เม็ด มีอันตรายมากพอจะฆ่าใครสักคน เพราะในเมล็ดละหุ่งมีสารไรซินซึ่งมีพิษทำให้เราถึงฆาตได้
10. ภาพยนตร์อันตราย
‘The Conqueror’ เมื่อปี 2499 นำแสดงโดย จอห์น เวย์น คือหนังที่มีทีมงานตายเพราะมะเร็งเฮงซวย มากกว่า 90 คน เนื่องจากมีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ห่างจากกองถ่ายไป 220 กม.!
11. คนแคระโคตรอันตราย
บอนนี พาร์คเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘บอนนี กับไคลด์’ คู่รักนักปล้นโคตรคลาสสิก คือมนุษย์ตัวเล็กที่อันตรายสุดๆ ในโลก ตลอดชีวิตด้วยความสูงไม่ถึง 147 ซม. บอนนีฆ่าคนไปไม่ต่ำกว่า 13 ศพ
12. ทอมโหด
ระหว่างปี 2532-2533 ไอลีน ‘มอนส์เตอร์’ วอร์นอส เป็นโสเภณี และสาวเลสเบี้ยนที่ฆ่าคนไปทั้งหมด 7 ศพ แต่จากความโหด อีก 13 ปีต่อมาชีวิตของเธอก็กลายมาเป็นหนังออสการ์ชื่อ ‘Monster’!
13. รถไฟเหาะมรณะ
บิก ดิปเปอร์ รถไฟเหาะที่ แบตเทอร์ซีพาร์คฟันแฟร์ ในลอนดอน เสียวสุดๆ กว่าทุกรอบที่เคยวิ่ง เมื่อมันเกิดอุบัติเหตุในปี 2513 คร่าชีวิตเด็กๆ ไป 5 คน เจ็บอีก 13 ราย
14. หมานำทางอันตรายสุดๆ
‘ลักกี้’ หมานำทางแสนรู้ พาเจ้าของของมันเดินไปเจอสถานการณ์อันตรายถึง 4 ครั้ง ครั้งแรกคือพาไปตัดหน้ารถบัส ครั้งต่อมาพาเดินตกท่าน้ำ ครั้งที่ 3 พาไปขวางรถไฟและครั้งที่ 4 ลงไปเดินในทางด่วน!
15. ลิงมรณะ
บาบูน คือสายพันธุ์จ๋อที่โหดสุดๆ ในโลก แต่ละปีมีคนโดนพวกมันทำร้ายจนตายกว่า 100 คน และเมื่อปี 2553 แก๊งบาบูนยังเคยเข้าถล่มเมืองเคปทาวน์เพื่อเมากันเละ ก่อนจะออกไปคร่าชีวิตหมาเกรดเดนผู้น่าสงสารไป 1 ตัว
16. นางเอกหนังโป๊โคตรอันตราย
ระหว่างรับจ๊อบปาร์ตี้เซ็กซ์ แช็กเกอร์ อมานดานางเอกหนังโป๊กับ เจสัน แอนดรูว์ส คู่รักของเธอร่วมกันฆ่าคนไป 1 ศพ แล้วขโมยเงินไป 1 แสนเหรียญ
17. เซ็กซ์ทอยมรณะ
เมื่อปี 2554 แซม แมซโซลา ตายคาที่ขณะมีเซ็กซ์โดยสวมใส่หน้ากากหนัง และ ในสภาพถูกล่ามโซ่ติดไว้กับเตียง
18. โคตรสงคราม
ระหว่างปี 2394-2407 กองกำลังไทปิง ในเมืองจีน ฆ่าคนไปถึง 100 ล้านศพ หรือ 1 ใน 8 ของประชากรโลกในช่วงเวลานั้น!
19. แมงมุมโคตรอันตราย
ฟันเนลเว็บ คือแมงมุมสายพันธุ์โคตรอันตราย ใครโดนมันกัดสามารถไปเยี่ยมนรกได้ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที
20. ทำเสียวอันตราย
การช่วยตัวเองแบบ Autoerotic Asphyxiation หรือการบีบ-รัดคอไปด้วยทำให้มีคนตายไปแล้วกว่า 1,000 ราย เดวิด คาราดีน หรือ
‘บิล’ จาก ‘Kill Bill’ ก็มาตายเสียวๆ แบบนี้ในโรงแรมบ้านเรา
21. โคตรแผ่นดินไหว
โคตรแผ่นดินสะเทือนครั้งเลวร้ายสุดๆ ของมวลมนุษยชาติ คือเมื่อปี 2099 แผ่นดินไหวที่เมืองชานสี เมืองจีน คร่าประชาชนไปถึง 830,000 ราย
22. ปืนโคตรอันตราย
นับตั้งแต่มันถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2490 ปืนเอเค-47 คืออาวุธที่ใช้ยิงคนดับราว 250,000 คนอยู่ทุกปี!
23. วิดีโอเกมมรณะ
ในปี 2548 ศาลอเมริการะบุถึงเหตุที่นาย เดวิน มัวร์ ฆ่าตำรวจตายไป 3 ราย เพราะเขาแยกไม่ออกระหว่างชีวิตจริงกับเกม GTA ที่ชอบเล่น
24. ส้วมอันตรายสุดๆ
เมื่อปี 2488 ลูกเรือดำน้ำเยอรมันต้องตายไป 4 ศพขณะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องเพราะสุขาในเรืออูดันพลิกคว่ำแล้วปล่อยแก๊สคลอรีนออกมาคลุ้งภายในเรือเต็มไปหมด!
10 อันดับสัตว์ที่สามารถเอาตัวรอดได้เก่งที่สุด
คุณเอาตัวรอดเก่งไหม แล้วคุณแกร่งพอๆกับสัตว์ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อม อันเลวร้ายที่สุดบนโลกหรือเปล่า เราจะมานับถอยหลังสู่ 10 อันดับสัตว์ ที่สามารถเอาตัวรอด ได้เก่งที่สุดในอาณาจักรสัตว์ แล้วมาดูกันว่า ความทรหดของพวกมันจะทำให้คนอึ้งและทึ่งมากแค่ไหน เราจะมาสำรวจ เส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง ของสัตว์ใน 10 อันดับนี้กัน โลกคือดาวเคราะห์ ที่เต็มไปด้วยความสุดยอด สถานที่สุดยอด และสัตว์ที่สุดยอด แต่สัตว์บางชนิด สุดยอดยิ่งกว่าชนิดไหน ติดตามการนับถอยหลัง เพื่อค้นหาสัตว์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ธรรมดาที่สุดใน 10 อันดับ
อันดับที่ 10 อูฐ
สุดยอดสัตว์จอมทรหด อันดับแรกของเรามาเริ่มต้น ในดินแดนแห่งความสุดขั้ว อากาศร้อนสุดขั้ว และขั้วด้วย คุณต้องแกร่งพอตัว จึงจะอยู่รอดในทะเลทรายได้ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อุดอยู่ในอันดับที่ 10 ของสัตว์ที่ได้ชื่อว่า เป็นจอมทรหดที่สุดในโลก เป็นเวลาหลายพันปี ที่ผู้คนต้องเดินทางข้ามดินแดน อันแห้งแล้งอย่างอาระเบีย โดยใช้สัตว์เป็นพาหนะ ที่มีฉายาว่า สำเภาทะเลทราย แต่บางคนไม่ได้เปรียบเทียบ พวกมันไว้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น บางคนเรียกมันว่า หมาตามใจคณะเดินทาง แต่คณะเดินทางย่อมรู้หน้าที่ของมัน แม้อูฐมีรูปร่างที่อัปลักษณ์ แต่มันก็อยู่รอดในสภาพแวดล้อม ที่แม้แต่ม้าก็อยู่ไม่ได้ กิล ริคเลอร์ ผู้เลี้ยงอูฐ ได้เปิดเผยว่า กูจะปรับตัวเข้ากับสภาพของทะเลทรายได้เก่งมาก ในที่ที่แห้งแล้งและร้อน อาหารไม่เพียงพอ แต่สัตว์ตัวใหญ่พวกนี้ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง พวกมันแบกน้ำหนักได้ 600 ปอนด์ เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวัน โดยที่ไม่ต้องกินน้ำหรือกินอาหารเลย
ความเก่งกาจของพวกมันก็คือ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบรอบตัว ถ้าสังเกตที่รูจมูกของมันจะมีรอยตัดเล็กๆเป็นทางยาว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อพิเศษที่ช่วยปิดจมูกไว้ เวลาเจอพายุทราย ขนจมูกในนั้น จะช่วยปัดเม็ดทราย ออกไปให้พวกมันหายใจคล่อง ถ้าสังเกตที่ตาของมัน คนตาของมันจะช่วยปกป้องลูกตา ผลจากเม็ดทราย และพวกมันยังมีเปลือกตาสองชั้น ที่ช่วยในการมองเห็น ทำให้พวกมันสามารถเดินข้ามทะเลทราย ได้โดยที่ยังหลับตาอยู่ ดังนั้นอูฐจึงกลายเป็นพระเอกอันโด่งดัง ที่ขาดไม่ได้ในการข้ามทะเลทราย แต่ที่ผิดไปจากความเข้าใจส่วนใหญ่ก็คือ โหนกของมันไม่ได้ใช้เก็บน้ำ แต่ที่จริงเต็มไปด้วยไขมัน ที่ใช้เป็นพลังงานสำรอง ในยามที่ต้องเผชิญกับ ความตรากตรำ คุณสมบัติทุกอย่างหล่อหลอมให้มันเป็นนักเอาตัวรอด แต่อูฐแข็งแกร่งมากแค่ไหน ลองคิดดูว่าถ้าคุณถูกทิ้งไว้กลางทะเลทราย ที่ไม่มีน้ำไม่มีร่ม อุณหภูมิร้อนฉ่ากว่า 120 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นความร้อนที่ทำให้คุณเหงื่อแตก เหงื่อกาฬเปียกโชกไปทั้งร่างกาย น้ำหนักในตัวคุณ รถหายไป 12% และต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อไม่มีน้ำดื่ม ภายในเวลาไม่ถึง 36 ชั่วโมง คุณก็ต้องตาย
ทีนี้ลองจินตนาการว่า ถ้าหากคุณมีความสามารถพิเศษเหมือนกับ อูฐ คุณก็จะสามารถ ทนทานกับความร้อนระอุได้มาก และยาวนาน กว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่เพียงแค่อูฐจะสามารถ สงวนน้ำในตัวไว้ได้ดี กว่าเราเท่านั้น แต่มันยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้จะสูญเสียน้ำหนัก ในร่างกายไปมากกว่า 25% และยังอยู่รอดโดยที่ไม่ต้องกินน้ำได้นานถึง 8 วันเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมอูฐถึงกระหายน้ำมาก และสามารถดื่มน้ำ ได้ถึง 21 แกลลอน ภายในแค่ 10 นาที อูฐมีวิธีการดื่มที่ต่างออกไป ซึ่งช่วยให้อูฐ สามารถข้ามพ้นทะเลทราย และกลับมาบ้านได้ นมอูฐช่วยบำรุงสุขภาพมาก ลองคิดถึงภาพทะเลทรายที่ไม่มีอะไรให้ดื่ม โดยเฉพาะเมื่อคุณคิดถึง พืชผักหรือผลไม้ ที่ช่วยเสริมสร้างวิตามินซี ในร่างกายของลูกอูฐ นมอูฐ อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มากกว่านมวัวถึง 3 เท่า และยังมีสารอินซูลิน ซึ่งนักวิจัยให้ความสนใจมาก ในการค้นคว้าว่า อินซูลินในนมอูฐ รักษาโรคเบาหวานได้มากแค่ไหน
อันดับที่ 9 หนู
ขอต้อนรับท่านสู่เมืองดรายโบนส์ เท็กซัส และถึงเวลาออกโรงของ นักควบคุมและกำจัดสัตว์ ไมเคิล โบดาน หนูถูกยกให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 9 และเป็นศัตรูอันดับ 1 ของมหาชนด้วย หนูดำรงอยู่บนโลกใบนี้ มากกว่าหลายล้านปีแล้ว ซึ่งพวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่ตลอด ซึ่งผลก็คือพวกมันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ แถมยังขยายพันธุ์ได้มาก พวกมันใช้เวลาตั้งท้องไม่นานเลย หลังจากมันคลอดแล้ว ใน 30 หรือ 45 วันต่อมา พวกมันก็โตพอ ที่จะหากินเองได้แล้ว ในปัจจุบันหนูเพียงคู่เดียว สามารถแพร่พันธุ์ลูกหลานของมัน ได้มากกว่า 15000 ตัวต่อปี ถ้าเผื่อว่าพวกมันรอดทุกตัว และการเอาตัวรอดคือสุดยอดทักษะของหนู หนูจึงถูกจัดให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 9 เพราะพวกมันทนทายาด เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการกำจัดมัน ไหนจะโรคที่พวกมันคอยแพร่เชื้อ แต่ไม่นานหนูฝูงใหม่ก็จะย้อนกลับคืนมาอีก
ลองดูตามเมืองใหญ่ๆดู ทุกคนจะได้เห็นหนูอย่างน้อย 1 ตัว วิ่งไปมาอย่างไม่เกรงใจใคร ราวกับเป็นบ้านของพวกมัน และเพราะอะไรหนูจรจัดเหล่านี้ ถึงสามารถกระโดดข้ามหัวเราไปอย่างง่ายดาย เหตุผลแรกคือ หนูเป็นนักกายกรรมที่เก่งกาจมาก พลังเหนือมนุษย์ของมัน ทำให้สามารถ เข้ามาในถิ่นที่อาศัยของเราได้ และเล็ดลอดเข้ามา แม้แต่ช่องทางที่แคบที่สุด หนูอาจเป็นฝันร้ายที่สุดของคุณ แต่คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า จะเป็นอย่างไร หากคุณมีพลังอันสุดยอดของหนูอยู่ในตัว หากคุณเป็นหนู คุณจะสามารถหดตัวเข้าสู่รู หรือหลุมที่เล็กกว่าตัวคุณได้ เป็นผลจากกระดูกของคุณ ที่ยืดหยุ่นได้ และคุณจะสามารถ เล็ดลอด ผ่านรูใดๆก็ตาม ที่มีความกว้างกว่าศีรษะของคุณนิดเดียว และคุณจะไม่มีทางติดอยู่ในท่อ เพราะฟันของหนู มีความแข็งแกร่งมากกว่าฟันของคนเราถึง 120 เท่าเลยทีเดียว นั่นแปลว่าคุณสามารถกัดท่อเหล็กให้เป็นรูได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ถังขยะหรืออิฐถ่านหินก็ยังแพ้คุณ และหากว่าไม่มีท่อระบายน้ำ ให้ปีนลงข้างล่าง อย่าตกใจเพราะหนูนั้น มีรูปร่างที่เล็กและเรียวบางกว่าคนมาก ต่อให้ต้องตกจากที่สูง ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และด้วยพลังอันสุดยอดของหนู ทำให้คุณรอดพ้นจากการตกตึก 5 ชั้นได้ เพราะเหตุนี้ เราจึงต้องนัดทุกกรณีออกมาจากตำรา
เพื่อกำจัดจอมทรหดตัวนี้ ยาเบื่อหนูคืออาวุธที่เราโปรดปราน แต่หนูก็ยังพบหนทางเอาตัวรอดจากสงครามเคมีไปได้ ดูเหมือนหนูจะกัดกินอาหารใหม่ที่มันพึ่งเจอได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น รวมไปถึงยาเบื่อหนู ซึ่งทำให้มันมีเวลาสร้างภูมิต้านทาน หนู 1 คู่มีอัตราการแพร่พันธุ์ที่เร็วมาก นี่อาจเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงของหนู นักวิทยาศาสตร์ยังพูดถึงมันว่า เจ้าถุงยาพิษตัวจิ๋วที่มี 4 ขาและมี 1 หาง แต่มีมนุษย์อีกคนที่ทนทานรับความทรมานจากยาเบื่อหนูได้ เขาคนนั้นคือนักบวชจอมโฉด รัสปูติน ปี 1916 ยุคพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย รัสปูตินต้องดาวดิ้นสิ้นชื่อของตนจากแผนลอบสังหารด้วยการวางยาพิษเขาในอาหาร และเหล้าที่ผสมไซยาไนด์ แต่เขากลับไม่ตาย ยาพิษไม่อาจทำร้ายเขาได้ เพราะรัสปูตินเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ไซยาไนด์จึงไม่อาจกระจายพิษไปทั่วร่างเขาได้ เช่นเดียวกับหนูรัสปูตินแกล้งทำเป็นตาย จนเมื่อเหล่าผู้ลอบสังหารได้ตัดสินใจยิงเขาอีกหลายนัด แต่เขาก็ยังไม่ตายอีก จนกระทั่งเหล่าผู้ลอบสังหารรุมทุบตีที่ศีรษะเขา และจับเขาโยนลงแม่น้ำ รัสปูตินจึงสิ้นชื่อในที่สุด เขาไม่ได้ตายเพราะพิษหรือเพราะกระสุนปืน แต่ตายเพราะจมน้ำ และเพราะหนูกำจัดได้ยากยิ่งกว่าฆ่ารัสปูติน มันจึงถูกจัดในอันดับที่ 9 ของ 10 สุดยอดสัตว์จอมทรหดของเรา
อันดับที่ 8 นกแกนเน็ต
ทะเลคือสถานที่ที่อันตรายสุดขั้ว โดยเฉพาะถ้าคุณคือนกแกนเน็ต นกแกนเน็ตออสเตรเลเชี่ยน เป็นนักล่าปลาตัวฉกาจ แต่มีปัญหาอยู่อย่างคือมันจะจับปลากินยังไง ในเมื่อมันส่งเสียงร้องหรือทะเลอยู่ร้อยฟุต วิธีแก้ปัญหานั้นแสนง่าย แม้มันต้องเสี่ยงตาย นกแกนเน็ต จึงได้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับ 8 เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนในโลก ที่จะรอดชีวิตจากการดิ่งพสุธาลงทะเล ด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ การพุ่งชนทุกอย่างด้วยความเร็วระดับนั้นอาจถึงขั้นตายได้ ถ้าคุณดิ่งลงทะเลด้วยความเร็วระดับนี้ ร่างกายคุณจะเละเป็นโจ๊ก แต่นกแกนเน็ต เป็นสุดยอดสัตว์จอมทรหดได้ ด้วยรูปลักษณ์อันแสนพิสดาร ที่รับประกันได้ว่ามันจะไม่จมน้ำ เพราะนกแกเน็ตไม่มีรูจมูก ซึ่งช่วยป้องกันจงอยปากของมันจากแรงกระแทกได้ดี ส่วนร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยถุงลมที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ก่อนที่จะพุ่งลงน้ำ นกแกนเน็ตจะขยายถุงลมเหล่านั้นให้พอง เพื่อดูดซับความเจ็บจากแรงกระแทก
จะเป็นยังไงถ้ามีระบบนี้ติดในรถยนต์ เราต่างจากนกแกนเน็ต ตรงที่ร่างกายของคนเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับแรงกระแทก แล้วถ้าจะมีคนบางกลุ่มที่ต้องการดิ่งพสุธาลงน้ำ ด้วยความเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงละ ขอต้อนรับสู่กีฬาอันสุดขั้วอย่างกีฬากระโดดหน้าผามืออาชีพ พวกเขากระโดดจากความสูงที่มากกว่ากีฬากระโดดน้ำโอลิมปิกถึง 2 เท่า และต้องกระแทกกับผิวน้ำแรงกว่าถึง 9 เท่า ถึงจะดูสนุก แต่กีฬากระโดดหน้าผาก็มีความอันตรายสูงมาก แม้แต่ก้าวแรกที่กระโดดลงไป ด้วยเหตุนี้นกแกนเน็ตจึงทำได้ดีเยี่ยม เพราะมันมีระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ในร่างกาย และทนทานได้กับความเร็วระดับสูง
อันดับที่ 7 กัวนาโค่
จอมทรหดตัวต่อไปอยู่ในเทือกเขาแอนดิสแถบอเมริกาใต้ เจ้าตัวนี้เป็นญาติกับอูฐ ซึ่งไม่ได้อยู่รอดจากความร้อน แต่จากความสูง เชิญพบกับ กัวนาโค่ พวกมันจะอาศัยอยู่บนที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากกว่า 5 กิโลเมตร บนที่ที่อากาศเบาบางจนแทบขาดใจ มีออกซิเจนแค่ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับความสูงระดับน้ำทะเล และด้วยเหตุนี้กัวนาโค่ จึงเป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 7 เพราะพวกมันสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ที่ทำให้มนุษย์อย่างเราอาจขาดใจตายได้
ลองคิดดูว่าถ้าหากคนถูกทิ้งให้อยู่บนภูเขาที่สูงกว่า 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในชั้นบรรยากาศที่แสนจะเบา ในชั้นบรรยากาศที่แสนจะเบาบาง อาจจะทำให้คุณเจ็บป่วยหรือหมดแรง เพราะอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคุณต้องการออกซิเจนที่เพียงพอ ในออกซิเจนนั้น อุดมไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดง เลือดปริมาณ 1 ช้อนชาจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ 19000 เซลล์ ฟังดูเหมือนเยอะแต่กลับอากาศเบาบางมันยังไม่มากพอ ด้วยเหตุนี้กีฬาปีนเขาจึงเป็นกีฬาที่อันตรายอย่างมาก บนความสูงกว่า 5000 เมตรจะทำให้คุณหายใจเร็วกว่าปกติถึง 4 เท่า แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ จุดที่ทำให้คุณอาจถึงตายคือความสูงที่ 75000 ฟุต ระบบย่อยอาหารของคุณจะหยุด ออกซิเจนในตัวคุณจะค่อยๆหมดลง และเริ่มกลืนกินตัวเอง หากยังฝืนต่อไปคงแย่แน่ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเหมือนกัวนาโค่
มนุษย์ที่มีเลือดแบบกัวนาโค่นั้น จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า และเซลล์เม็ดเลือดแดงทุกเซลล์ก็ยาวกว่าเป็น 2 เท่า เซลล์เม็ดเลือดยิ่งมากก็ยิ่งสะสมออกซิเจนในที่ที่อากาศเบาบาง ดังนั้นกัวนาโค่จึงเหมาะจะอยู่อาศัยในพื้นที่ที่สูงกว่ามนุษย์เรา กัวนาโค่ เคยได้รับการพรรณนาว่า เป็นสัตว์รูปร่างพิลึกที่เกือบถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่า แต่ความสามารถของมันยังต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เช่นเดียวกับสัตว์จอมทรหดอื่นๆ เมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุด สัตว์รูปร่างพิลึกนี้กับสอนบางอย่างให้เราได้
อันดับที่ 6 แมลงสาบ
หากหนูคือฝันร้ายที่สุดของคนเรา ฉะนั้นแมลงสาบก็เปรียบเสมือนกับฝันร้ายอันน่ากลัวของหนูอีกต่อหนึ่ง แมลงผู้เป็นทรราชนี้ ถูกจัดให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 6 เพราะไม่ว่าเราจะจู่โจมมันด้วยอะไรมันก็รอดได้ทุกอย่าง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันมีหนวดที่ไวต่อประสาทสัมผัสอย่างมาก และมันมีสมองอยู่ที่กลางแผ่นหลัง แมลงสาบจึงหลบพ้นทุกอย่างที่พุ่งมาได้ นั่นเป็นเพราะพวกมันเรียนรู้มาอย่างโชกโชน ความจริงคือยาวนานกว่า 400 ล้านปี แมลงสาบกัดกินไดโนเสาร์มานานกว่าที่มันซุกอยู่ในห้องครัวของคุณเสียอีก
แต่มีห้องครัวแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของเนติค เมสซาซูเสตส์ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับวีรกรรมการเอาตัวรอดของแมลงสาบ เมื่อ 30 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ในฐานทัพภาคท้องถิ่น ได้ค้นคว้าศึกษา และทำการทดลองกับเหล่าแมลงสาบมาดากัสการ์ขนาดยักจำนวนหนึ่ง โดยการดมสารกัมมันตรังสีให้แมลงสาบเหล่านั้น แมลงสาบสามารถทนทานต่อสารกัมมันตรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 200 เท่า แต่ในตอนท้ายของการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ถูกทิ้งให้อยู่กับกลุ่มแมลงสาบที่โดนสารกัมมันตรังสี พวกเขาจึงตัดสินใจ วางยาพิษแมลงสาบเหล่านั้น แล้วจัดการขังพวกมันไว้ในกระเป๋าพลาสติก เพื่อนำไปฝังกลบภายหลัง แต่ไม่ทราบว่าแมลงสาบเหล่านั้นได้หลุดออกมาเมื่อไหร่ พวกมันรอดพ้นจากยาพิษได้ และกัดกระเป๋าจนขาด ก่อนที่จะวิ่งพล่านไปมาอย่างบ้าคลั่ง มีบ้านหลังหนึ่งที่ในครอบครัวต้องกินแมลงสาบที่ถูกพิษเป็นอาหารเช้า ด้วยเหตุนี้กองทัพจึงมีการพิพากษาว่า วิธีเดียวที่จะฆ่าพวกมันได้ก็คือเอาค้อนทุบให้มันตาย แต่แม้กระนั้นคุณก็ต้องเล็งเป้าทุกมันให้ดีๆ เพราะแมลงสาบสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือนโดยที่ไม่มีหัว ก่อนจะตายลงด้วยความโหยหิว จุดเด่นของแมลงสาบคือพวกมันแกร่งเกินพิกัด เพราะการจะกำจัดมันให้พ้นนั้นทำได้ยากมาก คนส่วนใหญ่คิดว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ
อันดับที่ 10 อูฐ
สุดยอดสัตว์จอมทรหด อันดับแรกของเรามาเริ่มต้น ในดินแดนแห่งความสุดขั้ว อากาศร้อนสุดขั้ว และขั้วด้วย คุณต้องแกร่งพอตัว จึงจะอยู่รอดในทะเลทรายได้ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อุดอยู่ในอันดับที่ 10 ของสัตว์ที่ได้ชื่อว่า เป็นจอมทรหดที่สุดในโลก เป็นเวลาหลายพันปี ที่ผู้คนต้องเดินทางข้ามดินแดน อันแห้งแล้งอย่างอาระเบีย โดยใช้สัตว์เป็นพาหนะ ที่มีฉายาว่า สำเภาทะเลทราย แต่บางคนไม่ได้เปรียบเทียบ พวกมันไว้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น บางคนเรียกมันว่า หมาตามใจคณะเดินทาง แต่คณะเดินทางย่อมรู้หน้าที่ของมัน แม้อูฐมีรูปร่างที่อัปลักษณ์ แต่มันก็อยู่รอดในสภาพแวดล้อม ที่แม้แต่ม้าก็อยู่ไม่ได้ กิล ริคเลอร์ ผู้เลี้ยงอูฐ ได้เปิดเผยว่า กูจะปรับตัวเข้ากับสภาพของทะเลทรายได้เก่งมาก ในที่ที่แห้งแล้งและร้อน อาหารไม่เพียงพอ แต่สัตว์ตัวใหญ่พวกนี้ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง พวกมันแบกน้ำหนักได้ 600 ปอนด์ เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวัน โดยที่ไม่ต้องกินน้ำหรือกินอาหารเลย
ความเก่งกาจของพวกมันก็คือ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบรอบตัว ถ้าสังเกตที่รูจมูกของมันจะมีรอยตัดเล็กๆเป็นทางยาว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อพิเศษที่ช่วยปิดจมูกไว้ เวลาเจอพายุทราย ขนจมูกในนั้น จะช่วยปัดเม็ดทราย ออกไปให้พวกมันหายใจคล่อง ถ้าสังเกตที่ตาของมัน คนตาของมันจะช่วยปกป้องลูกตา ผลจากเม็ดทราย และพวกมันยังมีเปลือกตาสองชั้น ที่ช่วยในการมองเห็น ทำให้พวกมันสามารถเดินข้ามทะเลทราย ได้โดยที่ยังหลับตาอยู่ ดังนั้นอูฐจึงกลายเป็นพระเอกอันโด่งดัง ที่ขาดไม่ได้ในการข้ามทะเลทราย แต่ที่ผิดไปจากความเข้าใจส่วนใหญ่ก็คือ โหนกของมันไม่ได้ใช้เก็บน้ำ แต่ที่จริงเต็มไปด้วยไขมัน ที่ใช้เป็นพลังงานสำรอง ในยามที่ต้องเผชิญกับ ความตรากตรำ คุณสมบัติทุกอย่างหล่อหลอมให้มันเป็นนักเอาตัวรอด แต่อูฐแข็งแกร่งมากแค่ไหน ลองคิดดูว่าถ้าคุณถูกทิ้งไว้กลางทะเลทราย ที่ไม่มีน้ำไม่มีร่ม อุณหภูมิร้อนฉ่ากว่า 120 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นความร้อนที่ทำให้คุณเหงื่อแตก เหงื่อกาฬเปียกโชกไปทั้งร่างกาย น้ำหนักในตัวคุณ รถหายไป 12% และต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อไม่มีน้ำดื่ม ภายในเวลาไม่ถึง 36 ชั่วโมง คุณก็ต้องตาย
ทีนี้ลองจินตนาการว่า ถ้าหากคุณมีความสามารถพิเศษเหมือนกับ อูฐ คุณก็จะสามารถ ทนทานกับความร้อนระอุได้มาก และยาวนาน กว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่เพียงแค่อูฐจะสามารถ สงวนน้ำในตัวไว้ได้ดี กว่าเราเท่านั้น แต่มันยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้จะสูญเสียน้ำหนัก ในร่างกายไปมากกว่า 25% และยังอยู่รอดโดยที่ไม่ต้องกินน้ำได้นานถึง 8 วันเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมอูฐถึงกระหายน้ำมาก และสามารถดื่มน้ำ ได้ถึง 21 แกลลอน ภายในแค่ 10 นาที อูฐมีวิธีการดื่มที่ต่างออกไป ซึ่งช่วยให้อูฐ สามารถข้ามพ้นทะเลทราย และกลับมาบ้านได้ นมอูฐช่วยบำรุงสุขภาพมาก ลองคิดถึงภาพทะเลทรายที่ไม่มีอะไรให้ดื่ม โดยเฉพาะเมื่อคุณคิดถึง พืชผักหรือผลไม้ ที่ช่วยเสริมสร้างวิตามินซี ในร่างกายของลูกอูฐ นมอูฐ อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มากกว่านมวัวถึง 3 เท่า และยังมีสารอินซูลิน ซึ่งนักวิจัยให้ความสนใจมาก ในการค้นคว้าว่า อินซูลินในนมอูฐ รักษาโรคเบาหวานได้มากแค่ไหน
อันดับที่ 9 หนู
ขอต้อนรับท่านสู่เมืองดรายโบนส์ เท็กซัส และถึงเวลาออกโรงของ นักควบคุมและกำจัดสัตว์ ไมเคิล โบดาน หนูถูกยกให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 9 และเป็นศัตรูอันดับ 1 ของมหาชนด้วย หนูดำรงอยู่บนโลกใบนี้ มากกว่าหลายล้านปีแล้ว ซึ่งพวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่ตลอด ซึ่งผลก็คือพวกมันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ แถมยังขยายพันธุ์ได้มาก พวกมันใช้เวลาตั้งท้องไม่นานเลย หลังจากมันคลอดแล้ว ใน 30 หรือ 45 วันต่อมา พวกมันก็โตพอ ที่จะหากินเองได้แล้ว ในปัจจุบันหนูเพียงคู่เดียว สามารถแพร่พันธุ์ลูกหลานของมัน ได้มากกว่า 15000 ตัวต่อปี ถ้าเผื่อว่าพวกมันรอดทุกตัว และการเอาตัวรอดคือสุดยอดทักษะของหนู หนูจึงถูกจัดให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 9 เพราะพวกมันทนทายาด เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการกำจัดมัน ไหนจะโรคที่พวกมันคอยแพร่เชื้อ แต่ไม่นานหนูฝูงใหม่ก็จะย้อนกลับคืนมาอีก
ลองดูตามเมืองใหญ่ๆดู ทุกคนจะได้เห็นหนูอย่างน้อย 1 ตัว วิ่งไปมาอย่างไม่เกรงใจใคร ราวกับเป็นบ้านของพวกมัน และเพราะอะไรหนูจรจัดเหล่านี้ ถึงสามารถกระโดดข้ามหัวเราไปอย่างง่ายดาย เหตุผลแรกคือ หนูเป็นนักกายกรรมที่เก่งกาจมาก พลังเหนือมนุษย์ของมัน ทำให้สามารถ เข้ามาในถิ่นที่อาศัยของเราได้ และเล็ดลอดเข้ามา แม้แต่ช่องทางที่แคบที่สุด หนูอาจเป็นฝันร้ายที่สุดของคุณ แต่คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า จะเป็นอย่างไร หากคุณมีพลังอันสุดยอดของหนูอยู่ในตัว หากคุณเป็นหนู คุณจะสามารถหดตัวเข้าสู่รู หรือหลุมที่เล็กกว่าตัวคุณได้ เป็นผลจากกระดูกของคุณ ที่ยืดหยุ่นได้ และคุณจะสามารถ เล็ดลอด ผ่านรูใดๆก็ตาม ที่มีความกว้างกว่าศีรษะของคุณนิดเดียว และคุณจะไม่มีทางติดอยู่ในท่อ เพราะฟันของหนู มีความแข็งแกร่งมากกว่าฟันของคนเราถึง 120 เท่าเลยทีเดียว นั่นแปลว่าคุณสามารถกัดท่อเหล็กให้เป็นรูได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ถังขยะหรืออิฐถ่านหินก็ยังแพ้คุณ และหากว่าไม่มีท่อระบายน้ำ ให้ปีนลงข้างล่าง อย่าตกใจเพราะหนูนั้น มีรูปร่างที่เล็กและเรียวบางกว่าคนมาก ต่อให้ต้องตกจากที่สูง ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และด้วยพลังอันสุดยอดของหนู ทำให้คุณรอดพ้นจากการตกตึก 5 ชั้นได้ เพราะเหตุนี้ เราจึงต้องนัดทุกกรณีออกมาจากตำรา
เพื่อกำจัดจอมทรหดตัวนี้ ยาเบื่อหนูคืออาวุธที่เราโปรดปราน แต่หนูก็ยังพบหนทางเอาตัวรอดจากสงครามเคมีไปได้ ดูเหมือนหนูจะกัดกินอาหารใหม่ที่มันพึ่งเจอได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น รวมไปถึงยาเบื่อหนู ซึ่งทำให้มันมีเวลาสร้างภูมิต้านทาน หนู 1 คู่มีอัตราการแพร่พันธุ์ที่เร็วมาก นี่อาจเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงของหนู นักวิทยาศาสตร์ยังพูดถึงมันว่า เจ้าถุงยาพิษตัวจิ๋วที่มี 4 ขาและมี 1 หาง แต่มีมนุษย์อีกคนที่ทนทานรับความทรมานจากยาเบื่อหนูได้ เขาคนนั้นคือนักบวชจอมโฉด รัสปูติน ปี 1916 ยุคพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย รัสปูตินต้องดาวดิ้นสิ้นชื่อของตนจากแผนลอบสังหารด้วยการวางยาพิษเขาในอาหาร และเหล้าที่ผสมไซยาไนด์ แต่เขากลับไม่ตาย ยาพิษไม่อาจทำร้ายเขาได้ เพราะรัสปูตินเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ไซยาไนด์จึงไม่อาจกระจายพิษไปทั่วร่างเขาได้ เช่นเดียวกับหนูรัสปูตินแกล้งทำเป็นตาย จนเมื่อเหล่าผู้ลอบสังหารได้ตัดสินใจยิงเขาอีกหลายนัด แต่เขาก็ยังไม่ตายอีก จนกระทั่งเหล่าผู้ลอบสังหารรุมทุบตีที่ศีรษะเขา และจับเขาโยนลงแม่น้ำ รัสปูตินจึงสิ้นชื่อในที่สุด เขาไม่ได้ตายเพราะพิษหรือเพราะกระสุนปืน แต่ตายเพราะจมน้ำ และเพราะหนูกำจัดได้ยากยิ่งกว่าฆ่ารัสปูติน มันจึงถูกจัดในอันดับที่ 9 ของ 10 สุดยอดสัตว์จอมทรหดของเรา
อันดับที่ 8 นกแกนเน็ต
ทะเลคือสถานที่ที่อันตรายสุดขั้ว โดยเฉพาะถ้าคุณคือนกแกนเน็ต นกแกนเน็ตออสเตรเลเชี่ยน เป็นนักล่าปลาตัวฉกาจ แต่มีปัญหาอยู่อย่างคือมันจะจับปลากินยังไง ในเมื่อมันส่งเสียงร้องหรือทะเลอยู่ร้อยฟุต วิธีแก้ปัญหานั้นแสนง่าย แม้มันต้องเสี่ยงตาย นกแกนเน็ต จึงได้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับ 8 เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนในโลก ที่จะรอดชีวิตจากการดิ่งพสุธาลงทะเล ด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ การพุ่งชนทุกอย่างด้วยความเร็วระดับนั้นอาจถึงขั้นตายได้ ถ้าคุณดิ่งลงทะเลด้วยความเร็วระดับนี้ ร่างกายคุณจะเละเป็นโจ๊ก แต่นกแกนเน็ต เป็นสุดยอดสัตว์จอมทรหดได้ ด้วยรูปลักษณ์อันแสนพิสดาร ที่รับประกันได้ว่ามันจะไม่จมน้ำ เพราะนกแกเน็ตไม่มีรูจมูก ซึ่งช่วยป้องกันจงอยปากของมันจากแรงกระแทกได้ดี ส่วนร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยถุงลมที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ก่อนที่จะพุ่งลงน้ำ นกแกนเน็ตจะขยายถุงลมเหล่านั้นให้พอง เพื่อดูดซับความเจ็บจากแรงกระแทก
จะเป็นยังไงถ้ามีระบบนี้ติดในรถยนต์ เราต่างจากนกแกนเน็ต ตรงที่ร่างกายของคนเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับแรงกระแทก แล้วถ้าจะมีคนบางกลุ่มที่ต้องการดิ่งพสุธาลงน้ำ ด้วยความเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงละ ขอต้อนรับสู่กีฬาอันสุดขั้วอย่างกีฬากระโดดหน้าผามืออาชีพ พวกเขากระโดดจากความสูงที่มากกว่ากีฬากระโดดน้ำโอลิมปิกถึง 2 เท่า และต้องกระแทกกับผิวน้ำแรงกว่าถึง 9 เท่า ถึงจะดูสนุก แต่กีฬากระโดดหน้าผาก็มีความอันตรายสูงมาก แม้แต่ก้าวแรกที่กระโดดลงไป ด้วยเหตุนี้นกแกนเน็ตจึงทำได้ดีเยี่ยม เพราะมันมีระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ในร่างกาย และทนทานได้กับความเร็วระดับสูง
อันดับที่ 7 กัวนาโค่
จอมทรหดตัวต่อไปอยู่ในเทือกเขาแอนดิสแถบอเมริกาใต้ เจ้าตัวนี้เป็นญาติกับอูฐ ซึ่งไม่ได้อยู่รอดจากความร้อน แต่จากความสูง เชิญพบกับ กัวนาโค่ พวกมันจะอาศัยอยู่บนที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากกว่า 5 กิโลเมตร บนที่ที่อากาศเบาบางจนแทบขาดใจ มีออกซิเจนแค่ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับความสูงระดับน้ำทะเล และด้วยเหตุนี้กัวนาโค่ จึงเป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 7 เพราะพวกมันสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ที่ทำให้มนุษย์อย่างเราอาจขาดใจตายได้
ลองคิดดูว่าถ้าหากคนถูกทิ้งให้อยู่บนภูเขาที่สูงกว่า 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในชั้นบรรยากาศที่แสนจะเบา ในชั้นบรรยากาศที่แสนจะเบาบาง อาจจะทำให้คุณเจ็บป่วยหรือหมดแรง เพราะอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคุณต้องการออกซิเจนที่เพียงพอ ในออกซิเจนนั้น อุดมไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดง เลือดปริมาณ 1 ช้อนชาจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ 19000 เซลล์ ฟังดูเหมือนเยอะแต่กลับอากาศเบาบางมันยังไม่มากพอ ด้วยเหตุนี้กีฬาปีนเขาจึงเป็นกีฬาที่อันตรายอย่างมาก บนความสูงกว่า 5000 เมตรจะทำให้คุณหายใจเร็วกว่าปกติถึง 4 เท่า แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ จุดที่ทำให้คุณอาจถึงตายคือความสูงที่ 75000 ฟุต ระบบย่อยอาหารของคุณจะหยุด ออกซิเจนในตัวคุณจะค่อยๆหมดลง และเริ่มกลืนกินตัวเอง หากยังฝืนต่อไปคงแย่แน่ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเหมือนกัวนาโค่
มนุษย์ที่มีเลือดแบบกัวนาโค่นั้น จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า และเซลล์เม็ดเลือดแดงทุกเซลล์ก็ยาวกว่าเป็น 2 เท่า เซลล์เม็ดเลือดยิ่งมากก็ยิ่งสะสมออกซิเจนในที่ที่อากาศเบาบาง ดังนั้นกัวนาโค่จึงเหมาะจะอยู่อาศัยในพื้นที่ที่สูงกว่ามนุษย์เรา กัวนาโค่ เคยได้รับการพรรณนาว่า เป็นสัตว์รูปร่างพิลึกที่เกือบถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่า แต่ความสามารถของมันยังต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เช่นเดียวกับสัตว์จอมทรหดอื่นๆ เมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุด สัตว์รูปร่างพิลึกนี้กับสอนบางอย่างให้เราได้
อันดับที่ 6 แมลงสาบ
หากหนูคือฝันร้ายที่สุดของคนเรา ฉะนั้นแมลงสาบก็เปรียบเสมือนกับฝันร้ายอันน่ากลัวของหนูอีกต่อหนึ่ง แมลงผู้เป็นทรราชนี้ ถูกจัดให้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 6 เพราะไม่ว่าเราจะจู่โจมมันด้วยอะไรมันก็รอดได้ทุกอย่าง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันมีหนวดที่ไวต่อประสาทสัมผัสอย่างมาก และมันมีสมองอยู่ที่กลางแผ่นหลัง แมลงสาบจึงหลบพ้นทุกอย่างที่พุ่งมาได้ นั่นเป็นเพราะพวกมันเรียนรู้มาอย่างโชกโชน ความจริงคือยาวนานกว่า 400 ล้านปี แมลงสาบกัดกินไดโนเสาร์มานานกว่าที่มันซุกอยู่ในห้องครัวของคุณเสียอีก
แต่มีห้องครัวแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของเนติค เมสซาซูเสตส์ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับวีรกรรมการเอาตัวรอดของแมลงสาบ เมื่อ 30 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ในฐานทัพภาคท้องถิ่น ได้ค้นคว้าศึกษา และทำการทดลองกับเหล่าแมลงสาบมาดากัสการ์ขนาดยักจำนวนหนึ่ง โดยการดมสารกัมมันตรังสีให้แมลงสาบเหล่านั้น แมลงสาบสามารถทนทานต่อสารกัมมันตรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 200 เท่า แต่ในตอนท้ายของการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ถูกทิ้งให้อยู่กับกลุ่มแมลงสาบที่โดนสารกัมมันตรังสี พวกเขาจึงตัดสินใจ วางยาพิษแมลงสาบเหล่านั้น แล้วจัดการขังพวกมันไว้ในกระเป๋าพลาสติก เพื่อนำไปฝังกลบภายหลัง แต่ไม่ทราบว่าแมลงสาบเหล่านั้นได้หลุดออกมาเมื่อไหร่ พวกมันรอดพ้นจากยาพิษได้ และกัดกระเป๋าจนขาด ก่อนที่จะวิ่งพล่านไปมาอย่างบ้าคลั่ง มีบ้านหลังหนึ่งที่ในครอบครัวต้องกินแมลงสาบที่ถูกพิษเป็นอาหารเช้า ด้วยเหตุนี้กองทัพจึงมีการพิพากษาว่า วิธีเดียวที่จะฆ่าพวกมันได้ก็คือเอาค้อนทุบให้มันตาย แต่แม้กระนั้นคุณก็ต้องเล็งเป้าทุกมันให้ดีๆ เพราะแมลงสาบสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือนโดยที่ไม่มีหัว ก่อนจะตายลงด้วยความโหยหิว จุดเด่นของแมลงสาบคือพวกมันแกร่งเกินพิกัด เพราะการจะกำจัดมันให้พ้นนั้นทำได้ยากมาก คนส่วนใหญ่คิดว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ
กว่าจะมีวันนี้ของผู้ทรงอิทธิพลโลก
การก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิต เป็นสิ่งที่มนุษย์ที่มีลมหายใจทุกคนล้วนโหยหาแต่กว่าจะไปให้ถึงยังจุดนั้น หลายคนล้มเหลว หลายคนผิดหวัง และหลายคนต้องเลิกราในสิ่งที่ทำไป แต่ในเมื่อยังมีลมหายใจใครบางคนก็ยังอาจหาญที่จะสู้ต่อ...สู้ต่อไปเพื่อจุดหมายในความสำเร็จ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะพยายาม FHM จัดสกู๊ปปลุกไฟให้ลุกโชนในตัวคุณด้วยเรื่องราว ‘จุดเริ่มต้นความสำเร็จของ 20 คนดังระดับโลก’ ไปดูกันว่า กว่าจะก้าวขึ้นมายังบัลลังก์แห่งความสำเร็จพวกเขาต้องลุยกับอะไรมาบ้าง...
1. บารัก โอบามา : อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากว่าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งประเทศมหาอำนาจเช่นในวันนี้ ในวัยเด็ก โอบามา
เป็นเด็กลูกครึ่งผิวสีที่มีคุณพ่อเป็นชาวเคนย่า ส่วนคุณแม่เป็นชาวอเมริกัน คุณพ่อคุณแม่ของโอบามาเลิกรากัน และเป็นคุณแม่ที่พาเขาไปเติบโตที่อินโดนีเซีย ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านของพ่อเลี้ยงคนใหม่ ในช่วงชีวิตวัยรุ่น โอบามาเคยหันไปพึ่งยาเสพติด แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เขากลับมาได้คือการเข้าไปเป็นสมาชิกของโบสถ์ Trinity รวมทั้งได้มาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน และเป็นวิทยากรตามมูลนิธิต่างๆ ซึ่งจากพื้นฐานการพูดต่อหน้าผู้คนนี้เอง จึงส่งให้เขากลายเป็นคนที่มีวาทศิลป์นำพาให้ก้าวสู่เส้นทางการเมือง และกลายมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ
เช่นทุกวันนี้
2. สตีฟ จ็อบส์ : อดีต CEO แห่ง Apple
เส้นทางชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาโตขึ้นมากับพ่อแม่บุญธรรมในชนชั้นแรงงาน จ็อบส์ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังเข้าเรียนไปได้เพียง 6 เดือน เขาต้องอาศัยนอนตามห้องเพื่อน เก็บกระป๋องแลกเงินเพื่อนำไปซื้ออาหาร แม้ชีวิตจะดู
ดราม่าสุดๆ แต่จ็อบส์กลับเป็นคนที่มีความศรัทธาในสิ่งที่ทำอย่างแรงกล้า และจากการที่เคยไปลงเรียนวิชาศิลปะการประดิษฐ์และการ
ออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ทำให้เขาคิดค้นพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีชื่อว่า
Macintosh ขึ้นมา โดยมันมีฟร้อนให้เลือกใช้งานหลากหลายแถมยังปฏิวัติรูปร่างหน้าตาคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ จนหมดสิ้นทั้งหมดยังเป็นการปฏิวัติวงการแบบเบาๆ เพราะอีกหลายปีต่อมาจ็อบส์ก็ได้กลายเป็นเจ้าพ่อแห่งนวัตกรรมมือถือตระกูล I (ไอ) สตีฟ จ็อบส์ ที่เข้ามาพลิกโฉมไลฟ์สไตล์ของผู้คนไปทั่วโลก
3. โอปรา วินฟรีย์ : พิธีกรรายการโทรทัศน์
หากจะหาว่าใครคือสุภาพสตรีผิวสีที่ทรงอิทธิพลของโลก ชื่อพิธีกรคนดังโอปรา วินฟรีย์ ต้องติดอยู่ในลิสต์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่กว่าจะผ่านมาถึงความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ โอปราต้องเจอแต่ ‘โจทย์แรงๆ’ กับชีวิตมากมาย เธอถูกเพื่อนชายและลุงแท้ๆ ลวนลามจนตั้งท้องตั้งแต่อายุ14 ไม่นานจากนั้น แม่ก็ส่งเธอไปอยู่สถานกักกันเด็กและเยาวชน ต่อมาก็ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่กลับถูกน้องชายของพ่อล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งท้องเป็นครั้งที่ 2 แต่จากงานพาร์ตไทม์ที่เธอรับอาสาเป็นผู้อ่านข่าวย่อยให้กับสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่ง ก็ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งให้ผู้คนเห็นแววความสามารถของเธอ ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวผิวสีคนแรกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และท้ายที่สุด โอปราก็ได้กลายมาเป็นพิธีกรแถวหน้าของประเทศ ที่สามารถทำเรตติ้งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รายการโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา มากไปกว่านั้น เธอยังถูกจัดอันดับว่าเป็นหญิงชาวอัฟริกันอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อีกด้วย
4. เนลสัน แมนเดลา : อดีตประธานาธิบดีอัฟริกาใต้
จุดเริ่มต้นของความเป็นนักสิทธิมนุษยชนผู้ยิ่งใหญ่ของแมนเดล่า เกิดขึ้นจากการที่เขาได้เข้าไปเป็นผู้นำในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในประเทศอัฟริกาใต้ ก่อนจะถูกจับกุมในข้อหากบฏอยู่หลายปี ไม่กี่ปีถัดมา หลังกลับมาได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เขาก็ยังคงมุ่งมั่นเรียกร้องความเท่าเทียมนี้มาตลอด ในที่สุดก็ถูกจับอีกครั้งและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ด้วยพลังศรัทธาที่แมนเดลาได้สร้างไว้กับผู้คน ทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเขาด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ การจัดคอนเสิร์ตขึ้น ณ กรุงลอนดอน โดยมีผู้คนเข้าร่วมกว่า 72,000 คน แถมยังถ่ายทอดสดไปทั่วโลกสุดท้ายแมนเดล่าจึงได้รับการปล่อยตัว และในปี 1993 เขาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ก่อนที่ในปีถัดมา เขาจะได้
รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจากการเลือกตั้งในอัฟริกาใต้ จนได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดี พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายการเหยียดสีผิวอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในอัฟริกาใต้
5. แจ็ค หม่า : นักธุรกิจอี-คอมเมิร์ชแห่งอาลีบาบา
จากครูสอนภาษาอังกฤษที่ได้เงินเดือน 500 บาท สู่ผู้นำอาณาจักรธุรกิจอี-คอมเมิร์ชในนาม Alibaba ที่มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านบาท เหตุการณ์ซึ่งนำความสำเร็จมาให้แจ็ค หม่าดังเช่นทุกวันนี้เกิดเมื่อตอนที่เขาไปเยี่ยมเพื่อนที่อเมริกาด้วยความบังเอิญเขาได้ให้เพื่อนลองค้นหา
ชื่อสินค้าที่เป็นภาษาจีนในโลกออนไลน์ซึ่งปรากฏว่าไม่พบผลการค้นหาใดๆ เลยจากผลลัพธ์ที่เป็นศูนย์นั้นเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แจ็ค หม่า ได้ค้นพบช่องว่างทางธุรกิจในโลกออนไลน์ จนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีของโลกในปัจจุบัน
1. บารัก โอบามา : อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากว่าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งประเทศมหาอำนาจเช่นในวันนี้ ในวัยเด็ก โอบามา
เป็นเด็กลูกครึ่งผิวสีที่มีคุณพ่อเป็นชาวเคนย่า ส่วนคุณแม่เป็นชาวอเมริกัน คุณพ่อคุณแม่ของโอบามาเลิกรากัน และเป็นคุณแม่ที่พาเขาไปเติบโตที่อินโดนีเซีย ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านของพ่อเลี้ยงคนใหม่ ในช่วงชีวิตวัยรุ่น โอบามาเคยหันไปพึ่งยาเสพติด แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เขากลับมาได้คือการเข้าไปเป็นสมาชิกของโบสถ์ Trinity รวมทั้งได้มาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน และเป็นวิทยากรตามมูลนิธิต่างๆ ซึ่งจากพื้นฐานการพูดต่อหน้าผู้คนนี้เอง จึงส่งให้เขากลายเป็นคนที่มีวาทศิลป์นำพาให้ก้าวสู่เส้นทางการเมือง และกลายมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ
เช่นทุกวันนี้
2. สตีฟ จ็อบส์ : อดีต CEO แห่ง Apple
เส้นทางชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาโตขึ้นมากับพ่อแม่บุญธรรมในชนชั้นแรงงาน จ็อบส์ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังเข้าเรียนไปได้เพียง 6 เดือน เขาต้องอาศัยนอนตามห้องเพื่อน เก็บกระป๋องแลกเงินเพื่อนำไปซื้ออาหาร แม้ชีวิตจะดู
ดราม่าสุดๆ แต่จ็อบส์กลับเป็นคนที่มีความศรัทธาในสิ่งที่ทำอย่างแรงกล้า และจากการที่เคยไปลงเรียนวิชาศิลปะการประดิษฐ์และการ
ออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ทำให้เขาคิดค้นพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีชื่อว่า
Macintosh ขึ้นมา โดยมันมีฟร้อนให้เลือกใช้งานหลากหลายแถมยังปฏิวัติรูปร่างหน้าตาคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ จนหมดสิ้นทั้งหมดยังเป็นการปฏิวัติวงการแบบเบาๆ เพราะอีกหลายปีต่อมาจ็อบส์ก็ได้กลายเป็นเจ้าพ่อแห่งนวัตกรรมมือถือตระกูล I (ไอ) สตีฟ จ็อบส์ ที่เข้ามาพลิกโฉมไลฟ์สไตล์ของผู้คนไปทั่วโลก
3. โอปรา วินฟรีย์ : พิธีกรรายการโทรทัศน์
หากจะหาว่าใครคือสุภาพสตรีผิวสีที่ทรงอิทธิพลของโลก ชื่อพิธีกรคนดังโอปรา วินฟรีย์ ต้องติดอยู่ในลิสต์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่กว่าจะผ่านมาถึงความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ โอปราต้องเจอแต่ ‘โจทย์แรงๆ’ กับชีวิตมากมาย เธอถูกเพื่อนชายและลุงแท้ๆ ลวนลามจนตั้งท้องตั้งแต่อายุ14 ไม่นานจากนั้น แม่ก็ส่งเธอไปอยู่สถานกักกันเด็กและเยาวชน ต่อมาก็ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่กลับถูกน้องชายของพ่อล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งท้องเป็นครั้งที่ 2 แต่จากงานพาร์ตไทม์ที่เธอรับอาสาเป็นผู้อ่านข่าวย่อยให้กับสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่ง ก็ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งให้ผู้คนเห็นแววความสามารถของเธอ ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวผิวสีคนแรกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และท้ายที่สุด โอปราก็ได้กลายมาเป็นพิธีกรแถวหน้าของประเทศ ที่สามารถทำเรตติ้งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รายการโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา มากไปกว่านั้น เธอยังถูกจัดอันดับว่าเป็นหญิงชาวอัฟริกันอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อีกด้วย
4. เนลสัน แมนเดลา : อดีตประธานาธิบดีอัฟริกาใต้
จุดเริ่มต้นของความเป็นนักสิทธิมนุษยชนผู้ยิ่งใหญ่ของแมนเดล่า เกิดขึ้นจากการที่เขาได้เข้าไปเป็นผู้นำในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในประเทศอัฟริกาใต้ ก่อนจะถูกจับกุมในข้อหากบฏอยู่หลายปี ไม่กี่ปีถัดมา หลังกลับมาได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เขาก็ยังคงมุ่งมั่นเรียกร้องความเท่าเทียมนี้มาตลอด ในที่สุดก็ถูกจับอีกครั้งและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ด้วยพลังศรัทธาที่แมนเดลาได้สร้างไว้กับผู้คน ทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเขาด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ การจัดคอนเสิร์ตขึ้น ณ กรุงลอนดอน โดยมีผู้คนเข้าร่วมกว่า 72,000 คน แถมยังถ่ายทอดสดไปทั่วโลกสุดท้ายแมนเดล่าจึงได้รับการปล่อยตัว และในปี 1993 เขาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ก่อนที่ในปีถัดมา เขาจะได้
รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจากการเลือกตั้งในอัฟริกาใต้ จนได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดี พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายการเหยียดสีผิวอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในอัฟริกาใต้
5. แจ็ค หม่า : นักธุรกิจอี-คอมเมิร์ชแห่งอาลีบาบา
จากครูสอนภาษาอังกฤษที่ได้เงินเดือน 500 บาท สู่ผู้นำอาณาจักรธุรกิจอี-คอมเมิร์ชในนาม Alibaba ที่มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านบาท เหตุการณ์ซึ่งนำความสำเร็จมาให้แจ็ค หม่าดังเช่นทุกวันนี้เกิดเมื่อตอนที่เขาไปเยี่ยมเพื่อนที่อเมริกาด้วยความบังเอิญเขาได้ให้เพื่อนลองค้นหา
ชื่อสินค้าที่เป็นภาษาจีนในโลกออนไลน์ซึ่งปรากฏว่าไม่พบผลการค้นหาใดๆ เลยจากผลลัพธ์ที่เป็นศูนย์นั้นเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แจ็ค หม่า ได้ค้นพบช่องว่างทางธุรกิจในโลกออนไลน์ จนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีของโลกในปัจจุบัน
9 คุณประโยชน์ของแตงโม
กินแตงโมแค่วันละ 1 ชิ้นสิ่งที่ได้แสนวิเศษ
ฤดูร้อนก็ต้องมาพร้อมกับแตงโมและหากไม่มีบาร์บีคิวมันก็เป็นฤดูร้อนที่แสนวิเศษไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยกินแตงโมมานานมากฉันก็ไม่รู้ถึงประโยชน์ของมันมาก่อนเลยไม่ใช่แค่เพิ่มความชุ่มชื่นให้ร่างกายแต่ยังช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้นและช่วยเรื่องความดันโลหิตด้วย แตงโมมีสารอาหารมากมายอาทิ วิตามินเอ ไลโคปีน วิตามินซี และสาร citrulline
คุณนะประโยชน์ 9 ข้อของแตงโมมีดังนี้
1 ปรับสภาพผิวของคุณ
หากคุณต้องการให้ผิวเปล่งปลั่งเพิ่มขึ้นก็กินแตงโมเพิ่มขึ้นเพราะแตงโมอุดมไปด้วยวิตามินเอทำให้ผิวชุ่มชื้นช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและทำให้คุณรู้สึกสดชื่นอยู่เสมอ
2 ปรับสภาวะหัวใจให้ดีขึ้นแน่นอน
แพทย์บอกว่าเป็นที่ต้องการสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจแต่แค่แตงโมก็เพียงพอต่อการรักษาด้วยเช่นกันมันรักษาระดับความร้อนในร่างกายของคุณให้ปกติด้วยแคโรทีนอยด์ โพแทสเซียม และวิตามินซี รวมไปถึงยังทำให้ระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับปกติด้วย
3 ช่วยเหลือเรื่องไต
นิ่วในไตเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเจ็บได้ แต่แตงโมเป็นตัวช่วยให้เราปวดและขับปัสสาวะออกไป ด้วยเหตุนี้ปัสสาวะส่วนเกินก็จะถูกกำจัดออกไปส่งผลให้ไตไม่ต้องทํางานหนัก
4 ช่วยในการมองเห็น
วิตามินเอช่วยในการมองเห็นและทำให้สายตาของเราดีอยู่เสมอ ป้องกันไม่ให้ตาบอด และเป็นโรคตาที่มาพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น
5 ดีต่อกระดูก
ไลโคปีนและโพแทสเซียมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันกระดูกเสื่อมและปัญหากระดูกตามอายุที่เพิ่มขึ้น
6 ทำให้ความดันโลหิตต่ำ
โพแทสเซียมและแมงกานีส ช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง ฉะนั้นอย่าลืมที่จะกินแตงโมพร้อมกับการลดน้ำหนักเพื่อให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
7 บรรเทาอาการเจ็บกล้ามเนื้อ
แตงโมสามารถต่อต้านการอักเสบและเจ็บกล้ามเนื้อเพราะมีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่ในนั้น
8 ช่วยป้องกันโรคหอบหืด
วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหอบหืดมีสารอาหารในแตงโมมากมายที่จะทำให้สุขภาพปอดดีขึ้น
9 ช่วยเยียวยามะเร็งต่อมลูกหมาก
แตงโมไม่ได้ต่อต้านมะเร็งโดยตรงแต่สารอาหารของมันต่างหากที่สามารถช่วยคุณได้ เล่นจากในแตงโมนั้นมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างไลโคปีน
เอาหละตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าแตงโมช่วยเหลืออะไรคุณได้บ้างฉะนั้นก็อย่าลืมกินแตงโมกันให้ได้ทุกวันนะอย่างน้อยวันละ 1 ชิ้นก็ยังดีเพื่อสุขภาพของเราเอง
ฤดูร้อนก็ต้องมาพร้อมกับแตงโมและหากไม่มีบาร์บีคิวมันก็เป็นฤดูร้อนที่แสนวิเศษไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยกินแตงโมมานานมากฉันก็ไม่รู้ถึงประโยชน์ของมันมาก่อนเลยไม่ใช่แค่เพิ่มความชุ่มชื่นให้ร่างกายแต่ยังช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้นและช่วยเรื่องความดันโลหิตด้วย แตงโมมีสารอาหารมากมายอาทิ วิตามินเอ ไลโคปีน วิตามินซี และสาร citrulline
คุณนะประโยชน์ 9 ข้อของแตงโมมีดังนี้
1 ปรับสภาพผิวของคุณ
หากคุณต้องการให้ผิวเปล่งปลั่งเพิ่มขึ้นก็กินแตงโมเพิ่มขึ้นเพราะแตงโมอุดมไปด้วยวิตามินเอทำให้ผิวชุ่มชื้นช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและทำให้คุณรู้สึกสดชื่นอยู่เสมอ
2 ปรับสภาวะหัวใจให้ดีขึ้นแน่นอน
แพทย์บอกว่าเป็นที่ต้องการสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจแต่แค่แตงโมก็เพียงพอต่อการรักษาด้วยเช่นกันมันรักษาระดับความร้อนในร่างกายของคุณให้ปกติด้วยแคโรทีนอยด์ โพแทสเซียม และวิตามินซี รวมไปถึงยังทำให้ระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับปกติด้วย
3 ช่วยเหลือเรื่องไต
นิ่วในไตเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเจ็บได้ แต่แตงโมเป็นตัวช่วยให้เราปวดและขับปัสสาวะออกไป ด้วยเหตุนี้ปัสสาวะส่วนเกินก็จะถูกกำจัดออกไปส่งผลให้ไตไม่ต้องทํางานหนัก
4 ช่วยในการมองเห็น
วิตามินเอช่วยในการมองเห็นและทำให้สายตาของเราดีอยู่เสมอ ป้องกันไม่ให้ตาบอด และเป็นโรคตาที่มาพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น
5 ดีต่อกระดูก
ไลโคปีนและโพแทสเซียมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันกระดูกเสื่อมและปัญหากระดูกตามอายุที่เพิ่มขึ้น
6 ทำให้ความดันโลหิตต่ำ
โพแทสเซียมและแมงกานีส ช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง ฉะนั้นอย่าลืมที่จะกินแตงโมพร้อมกับการลดน้ำหนักเพื่อให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
7 บรรเทาอาการเจ็บกล้ามเนื้อ
แตงโมสามารถต่อต้านการอักเสบและเจ็บกล้ามเนื้อเพราะมีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่ในนั้น
8 ช่วยป้องกันโรคหอบหืด
วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหอบหืดมีสารอาหารในแตงโมมากมายที่จะทำให้สุขภาพปอดดีขึ้น
9 ช่วยเยียวยามะเร็งต่อมลูกหมาก
แตงโมไม่ได้ต่อต้านมะเร็งโดยตรงแต่สารอาหารของมันต่างหากที่สามารถช่วยคุณได้ เล่นจากในแตงโมนั้นมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างไลโคปีน
เอาหละตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าแตงโมช่วยเหลืออะไรคุณได้บ้างฉะนั้นก็อย่าลืมกินแตงโมกันให้ได้ทุกวันนะอย่างน้อยวันละ 1 ชิ้นก็ยังดีเพื่อสุขภาพของเราเอง
10 อันดับการ์ตูนในวัยเด็ก
อันดับที่ 10 การ์ตูนหน้ากากเสือ
ฉายในไทยครั้งแรกในปีพศ. 2524 เป็นเรื่องราวของนักมวยปล้ำอาชีพที่ใส่หน้ากากเสือขึ้นสู้ โดยพระเอกของเรานั้นมีชื่อว่านาโอโตะ ดาเตะ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่วันหนึ่งได้ไปสวนสัตว์ ได้เจอกับเสือ จึงอยากแข็งแกร่งเหมือนกับเสือ แล้วพระเอกก็ได้เจอกับองค์กรที่มีชื่อว่าถ้ำเสือ เขาจึงได้เป็นนักมวยปล้ำขององค์กรถ้ำเสือ โดยใช้ชื่อว่าหน้ากากเสือและมีฉายาว่าปีศาจเหลือง
อันดับที่ 9 การ์ตูนเซนต์เซย่า
ฉายในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยมีชื่อว่าเซย่าเทพบุตรหมัดดาวหาง เซนต์เซย่าเป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเด็กหนุ่ม 5 คน ที่ถูกเรียกว่าเซนต์ ต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตัวเองเป็นอาวุธ เพื่อปกป้องคิโดซาโอริ ผู้เป็นร่างอวตารของเทพีอาธีน่า และต่อสู้กับกองทัพของศัตรูแห่งความชั่วร้าย ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังมีการดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์เกมส์และของเล่นต่างๆ ซึ่งเรียกได้ว่าฮิตกันไปทั่วโลกเลย
อันดับที่ 8 การ์ตูนกัปตันซึบาสะ
ออกฉายครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ 2526 เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับฟุตบอลมีหลายภาคมาก เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่มีชื่อว่าโอโซระ สึบาสะ ที่ได้รับการฝึกฟุตบอลจากอดีตนักเตะทีมชาติบราซิล สึบาสะได้เข้าร่วมทีม เพื่อชิงชัยในฟุตบอลระดับชาติ ทั้งระดับประถมและมัธยม
อันดับที่ 7 การ์ตูนอิคคิวซัง
หรือเณรน้อยเจ้าปัญญา เป็นเรื่องราวของอิคคิวซัง ที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม สร้างอิงจากเรื่องจริงจากพระที่ชื่ออิคคิวในนิกายเซน ในแต่ละตอนก็จะเกิดปัญหาต่างๆมากมาย แล้วเณรน้อยอิคคิวก็จะใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา เรียกได้ว่าการ์ตูนทั้งเรื่องนั้นมีอิคคิวซังคนเดียวที่มีความฉลาดอยู่ เชื่อกันว่าใครหลายคนก็เติบโตมาพร้อมกับการ์ตูนเรื่องนี้และไม่มีพิษมีภัยดี เป็นการ์ตูนที่สอนให้เราทำความดีเพื่อสังคมอีกด้วย
อันดับที่ 6 การ์ตูนเครยอนชินจัง
ฉายเมื่อปี 2535 เป็นเรื่องเกี่ยวกับชินจัง เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อของเขา เช่นชอบผู้หญิงสาวสวยหุ่นสะบึม ส่วนแม่ของชินจังนั้นชื่อว่ามิซาเอะ มีนิสัยขี้โมโหฉุนเฉียว ปากร้ายแต่ใจดี ซึ่งชินจังมักจะกวนอารมณ์และยั่วโมโหกับแม่อยู่เป็นประจำ ชินจังยังมีน้องสาวและเลี้ยงหมาที่ชื่อว่าชิโร่อีกด้วย
อันดับที่ 5 การ์ตูนฤทธิ์หมัดดาวเหนือหรือหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ
การ์ตูนแนวต่อสู้ที่ออกฉายเมื่อปี 2527 การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรูซลี และหนังเรื่อง mad Max เรื่องราวกล่าวถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่โลกถึงจุดตกต่ำที่สุด มีเพียงเคนชิโร่ผู้มีแผลเป็นเป็นรูปดาวเหนือ 7 แห่ง บนหน้าอกเท่านั้นที่จะสามารถกอบกู้โลกใบนี้ได้ ด้วยหมัดอุดรเทวะ เป็นหมัดที่สามารถทะลวงจุดตายของคู่ต่อสู้ได้เพียงหมัดเดียว การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ได้ความนิยมอย่างมากในช่วงนั้น
อันดับที่ 4 การ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
โคนันเป็นการ์ตูนแนวสืบสวนสอบสวนที่ออกฉายเมื่อปี 2537 เป็นเรื่องราวของคุโด้ชินอิจิ พระเอกของเราที่ถูกลอบทำร้ายและถูกจับยัดยาเข้าที่ปาก ทำให้เขากลายเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ โคนันเป็นการ์ตูนที่ฆ่าคนเยอะที่สุดแล้ว และสังเกตได้ว่าทุกๆตอนจะมีแต่คนต้องตาย เมื่อโคนันไปที่ไหนก็จะมีแต่คนตาย จากนั้นโคนันก็จะหาตัวคนร้าย และที่พีคร้ายกว่านั้น ก็จะมีการยิงยาสลบ ไปที่โมริโคโกโร่ แล้วโคนันก็จะใช้เครื่องดัดเสียง เป็นลุงแก่แล้วทำการไขปริศนาคดี
อันดับที่ 3 การ์ตูนดราก้อนบอล
การ์ตูนอมตะในวัยเด็กที่เป็นตำนาน ออกฉายเมื่อปี 2531 ทางช่อง 9 เป็นเรื่องราวของ ซุนโกคู ที่ออกรวบรวมตามหาดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพื่อขอพรจากเทพเจ้ามังกร โดยระหว่างการเดินทางก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่ๆ ดราก้อนบอลในภาคแรกๆนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องไซอิ๋ว นอกจากนี้แล้วการ์ตูนดราก้อนบอลยังถูกนำมาดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์และเกมต่างๆมากมาย คุณจะเห็นได้ว่าการ์ตูนดราก้อนบอลเป็นการ์ตูนที่ดูเอาเพลินด้วยความน่ารักของตัวละครซุนโกคู แต่พอเริ่มภาค Z นั้น ความเถื่อนถ้ำก็เริ่มมาแล้ว คิดดูแล้วกันเรื่องทั้งเรื่อง พระเอกมีแต่โดนยำเละ ไม่ก็เพื่อนถูกฆ่าตาย ก่อนที่พระเอกจะทำการระเบิดพลังและกำจัดศัตรู ทำไมไม่ระเบิดพลังตั้งแต่แรกนะเพื่อนจะได้ไม่ต้องตาย การ์ตูนเรื่องดราก้อนบอลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมกันไปทั่วโลก
อันดับที่ 2 การ์ตูนโดราเอมอน
ออกฉายครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ 2516 และออกฉายครั้งแรกที่ประเทศไทยในปีพ.ศ 2523 เป็นเรื่องราวของโนบิตะเด็กชายชั้น ป.4 นิสัยขี้เกียจ เป็นคนไม่เอาไหนชอบจะมีเรื่องให้โดราเอมอน เจ้าหุ่นยนต์แมวตัวสีฟ้าไม่มีหูต้องปวดหัวอยู่เสมอ โนบิตะมักจะมาขอของวิเศษจากโดราเอม่อน เพื่อเอาไปใช้ในการแก้แค้นไจแอนท์ ซึเนโอะ แกล้งเพื่อนคนอื่นๆบ้าง เป็นการ์ตูนที่ดูสนุกไม่มีพิษมีภัย แล้วยังได้ข้อคิดคติเตือนใจ การ์ตูนโดราเอมอนยังได้รับรางวัลจากนิตยสาร Time Asia และถูกรับเลือกให้เป็นทูตทางด้านการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรม ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
อันดับที่ 1 ไม่มี
คุณต่างหากที่โตมากับการ์ตูนเรื่องอะไร เรื่องนั้นแหละคือการ์ตูน อันดับ 1 ในใจของคุณ
ฉายในไทยครั้งแรกในปีพศ. 2524 เป็นเรื่องราวของนักมวยปล้ำอาชีพที่ใส่หน้ากากเสือขึ้นสู้ โดยพระเอกของเรานั้นมีชื่อว่านาโอโตะ ดาเตะ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่วันหนึ่งได้ไปสวนสัตว์ ได้เจอกับเสือ จึงอยากแข็งแกร่งเหมือนกับเสือ แล้วพระเอกก็ได้เจอกับองค์กรที่มีชื่อว่าถ้ำเสือ เขาจึงได้เป็นนักมวยปล้ำขององค์กรถ้ำเสือ โดยใช้ชื่อว่าหน้ากากเสือและมีฉายาว่าปีศาจเหลือง
อันดับที่ 9 การ์ตูนเซนต์เซย่า
ฉายในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยมีชื่อว่าเซย่าเทพบุตรหมัดดาวหาง เซนต์เซย่าเป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเด็กหนุ่ม 5 คน ที่ถูกเรียกว่าเซนต์ ต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตัวเองเป็นอาวุธ เพื่อปกป้องคิโดซาโอริ ผู้เป็นร่างอวตารของเทพีอาธีน่า และต่อสู้กับกองทัพของศัตรูแห่งความชั่วร้าย ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังมีการดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์เกมส์และของเล่นต่างๆ ซึ่งเรียกได้ว่าฮิตกันไปทั่วโลกเลย
อันดับที่ 8 การ์ตูนกัปตันซึบาสะ
ออกฉายครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ 2526 เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับฟุตบอลมีหลายภาคมาก เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่มีชื่อว่าโอโซระ สึบาสะ ที่ได้รับการฝึกฟุตบอลจากอดีตนักเตะทีมชาติบราซิล สึบาสะได้เข้าร่วมทีม เพื่อชิงชัยในฟุตบอลระดับชาติ ทั้งระดับประถมและมัธยม
อันดับที่ 7 การ์ตูนอิคคิวซัง
หรือเณรน้อยเจ้าปัญญา เป็นเรื่องราวของอิคคิวซัง ที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม สร้างอิงจากเรื่องจริงจากพระที่ชื่ออิคคิวในนิกายเซน ในแต่ละตอนก็จะเกิดปัญหาต่างๆมากมาย แล้วเณรน้อยอิคคิวก็จะใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา เรียกได้ว่าการ์ตูนทั้งเรื่องนั้นมีอิคคิวซังคนเดียวที่มีความฉลาดอยู่ เชื่อกันว่าใครหลายคนก็เติบโตมาพร้อมกับการ์ตูนเรื่องนี้และไม่มีพิษมีภัยดี เป็นการ์ตูนที่สอนให้เราทำความดีเพื่อสังคมอีกด้วย
อันดับที่ 6 การ์ตูนเครยอนชินจัง
ฉายเมื่อปี 2535 เป็นเรื่องเกี่ยวกับชินจัง เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อของเขา เช่นชอบผู้หญิงสาวสวยหุ่นสะบึม ส่วนแม่ของชินจังนั้นชื่อว่ามิซาเอะ มีนิสัยขี้โมโหฉุนเฉียว ปากร้ายแต่ใจดี ซึ่งชินจังมักจะกวนอารมณ์และยั่วโมโหกับแม่อยู่เป็นประจำ ชินจังยังมีน้องสาวและเลี้ยงหมาที่ชื่อว่าชิโร่อีกด้วย
อันดับที่ 5 การ์ตูนฤทธิ์หมัดดาวเหนือหรือหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ
การ์ตูนแนวต่อสู้ที่ออกฉายเมื่อปี 2527 การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรูซลี และหนังเรื่อง mad Max เรื่องราวกล่าวถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่โลกถึงจุดตกต่ำที่สุด มีเพียงเคนชิโร่ผู้มีแผลเป็นเป็นรูปดาวเหนือ 7 แห่ง บนหน้าอกเท่านั้นที่จะสามารถกอบกู้โลกใบนี้ได้ ด้วยหมัดอุดรเทวะ เป็นหมัดที่สามารถทะลวงจุดตายของคู่ต่อสู้ได้เพียงหมัดเดียว การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ได้ความนิยมอย่างมากในช่วงนั้น
อันดับที่ 4 การ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
โคนันเป็นการ์ตูนแนวสืบสวนสอบสวนที่ออกฉายเมื่อปี 2537 เป็นเรื่องราวของคุโด้ชินอิจิ พระเอกของเราที่ถูกลอบทำร้ายและถูกจับยัดยาเข้าที่ปาก ทำให้เขากลายเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ โคนันเป็นการ์ตูนที่ฆ่าคนเยอะที่สุดแล้ว และสังเกตได้ว่าทุกๆตอนจะมีแต่คนต้องตาย เมื่อโคนันไปที่ไหนก็จะมีแต่คนตาย จากนั้นโคนันก็จะหาตัวคนร้าย และที่พีคร้ายกว่านั้น ก็จะมีการยิงยาสลบ ไปที่โมริโคโกโร่ แล้วโคนันก็จะใช้เครื่องดัดเสียง เป็นลุงแก่แล้วทำการไขปริศนาคดี
อันดับที่ 3 การ์ตูนดราก้อนบอล
การ์ตูนอมตะในวัยเด็กที่เป็นตำนาน ออกฉายเมื่อปี 2531 ทางช่อง 9 เป็นเรื่องราวของ ซุนโกคู ที่ออกรวบรวมตามหาดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพื่อขอพรจากเทพเจ้ามังกร โดยระหว่างการเดินทางก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่ๆ ดราก้อนบอลในภาคแรกๆนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องไซอิ๋ว นอกจากนี้แล้วการ์ตูนดราก้อนบอลยังถูกนำมาดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์และเกมต่างๆมากมาย คุณจะเห็นได้ว่าการ์ตูนดราก้อนบอลเป็นการ์ตูนที่ดูเอาเพลินด้วยความน่ารักของตัวละครซุนโกคู แต่พอเริ่มภาค Z นั้น ความเถื่อนถ้ำก็เริ่มมาแล้ว คิดดูแล้วกันเรื่องทั้งเรื่อง พระเอกมีแต่โดนยำเละ ไม่ก็เพื่อนถูกฆ่าตาย ก่อนที่พระเอกจะทำการระเบิดพลังและกำจัดศัตรู ทำไมไม่ระเบิดพลังตั้งแต่แรกนะเพื่อนจะได้ไม่ต้องตาย การ์ตูนเรื่องดราก้อนบอลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมกันไปทั่วโลก
อันดับที่ 2 การ์ตูนโดราเอมอน
ออกฉายครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ 2516 และออกฉายครั้งแรกที่ประเทศไทยในปีพ.ศ 2523 เป็นเรื่องราวของโนบิตะเด็กชายชั้น ป.4 นิสัยขี้เกียจ เป็นคนไม่เอาไหนชอบจะมีเรื่องให้โดราเอมอน เจ้าหุ่นยนต์แมวตัวสีฟ้าไม่มีหูต้องปวดหัวอยู่เสมอ โนบิตะมักจะมาขอของวิเศษจากโดราเอม่อน เพื่อเอาไปใช้ในการแก้แค้นไจแอนท์ ซึเนโอะ แกล้งเพื่อนคนอื่นๆบ้าง เป็นการ์ตูนที่ดูสนุกไม่มีพิษมีภัย แล้วยังได้ข้อคิดคติเตือนใจ การ์ตูนโดราเอมอนยังได้รับรางวัลจากนิตยสาร Time Asia และถูกรับเลือกให้เป็นทูตทางด้านการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรม ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
อันดับที่ 1 ไม่มี
คุณต่างหากที่โตมากับการ์ตูนเรื่องอะไร เรื่องนั้นแหละคือการ์ตูน อันดับ 1 ในใจของคุณ
10 อันดับการ์ตูนญี่ปุ่นในตำนาน
อันดับที่ 10 ชินจังจอมแก่น
เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเราเนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับการล้อเลียนการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวมนุษย์เงินเดือนชาวญี่ปุ่นชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากใช้มาแล้วทั้งหมด 23 ปี
อันดับที่ 9 อิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา
การ์ตูนนี้เป็นเรื่องราวของสามเณรน้อยที่ชื่อว่าอิคคิวในนิกายเซน มีปัญญาฉลาดหลักแหลมในแต่ละตอนจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้อิคคิวต้องใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆให้ข้อคิดดีๆกับเด็กไทยมาอย่างยาวนาน
อันดับที่ 8 Slamdunk
เป็นการ์ตูนที่เกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลตัวเอกมีชื่อว่าซากุระงิ ฮานามิจิ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกผู้หญิงหักอกมาแล้วกว่า 50 ครั้งในช่วงที่การ์ตูนสแลมดั้งพีคๆ นั้นเด็กผู้ชายหลายคนหันมาเล่นกีฬาบาสเกตบอลกันแทบจะทำโรงเรียนกันเลยทีเดียว
อันดับที่ 7 วันพีซ
เรื่องราวของการตามล่าหาสมบัติวันพีซของเหล่าโจรสลัด ผู้ที่ได้มาครอบครองนั้นจะได้เป็นเจ้าแห่งโจรสลัดถือเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของญี่ปุ่น จุดเด่นที่ผู้ว่าได้สร้างสรรค์การผจญภัยของโจรสลัด มิตรภาพของผองเพื่อน คาแร็กเตอร์ต่างๆ ของตัวละครในการ์ตูนที่มีความหลากหลาย และยังมีความสามารถพิเศษต่างๆ ที่เกิดจากการกินผลปิศาจ ทำให้การต่อสู้กันของเหล่าโจรสลัดมีความสนุกเข้มข้นขึ้น
อันดับที่ 6 เซเลอร์มูน
เรื่องราวการต่อสู้กับเหล่าร้ายของอัศวินสาวสวยแห่งดาวในระบบสุริยะแถมยังมีเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์กับอัศวินหนุ่มลึกลับและความตลกของตัวร้ายที่เรียกได้ว่ามากันทุกเพศทุกวัยไคลแม็กซ์นั้นก็คงจะอยู่ที่ท่าทางการแปลงร่างของเหล่าเจ้าหญิง
อันดับที่ 5 นักซิ่งสายฟ้า
การ์ตูนนี้เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องนักแข่งรถทามิย่าที่เรียกได้ว่าในยุคนั้นฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเด็กๆล้วนแต่ใฝ่ฝันอยากจะมีรถทามิย่าเป็นของตัวเอง
อันดับที่ 4 ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
เริ่มต้นเรื่องด้วยการที่เด็กหนุ่มที่ชื่อโคนัน นักสืบอัจฉริยะม.ปลายถูกตัวร้ายกรอกยาพิษทำให้กลายร่างเป็นเด็ก 7 ขวบ โคนันได้คอยแก้ไขปริศนาคดีฆาตกรรมต่างๆ ด้วยการแปลงเสียงแล้วให้นักสืบโมริโกโกโร่เป็นหุ่นเชิด เรียกได้ว่าถ้ามีโคนันที่ไหนที่นั่นก็จะมีคนตายเกิดขึ้นเสมอ
อันดับที่ 3 กัปตันซึบาสะ
เรื่องของเด็กชายที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลระดับโลกได้รับการสนับสนุนในด้านเนื้อเรื่องจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นทำให้เด็กๆชาวญี่ปุ่นหันมาสนใจกีฬาฟุตบอลกันมากขึ้น วิชาการเตะบอลแบบเว่อร์ๆ ให้ได้สนุกขำๆกัน
อันดับที่ 2 Doraemon
การ์ตูนโปรดของใครๆหลายคนเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์แมวหูด้วนตัวสีฟ้าที่มาจากอนาคตเพื่อกลับมาช่วยเหลือโนบิตะเด็กประถมจอมขี้เกียจโดบิตะจะชอบไหว้วานให้โดเรม่อนเอาสิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคตมาช่วยเหลือ จุดเด่นของเรื่องก็คือการจินตนาการของวิเศษในแต่ละตอนซึ่งมันล้ำมากๆแถมยังเอามาสอดแทรกในเนื้อเรื่องและแฝงแง่คิดสอนเด็กๆด้วยไปในตัว
อันดับที่ 1 ดราก้อนบอล
แล้วเราก็มาถึงอันดับที่ 1 ในการจัดอันดับการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตในตำนานซึ่งจะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้เลย การ์ตูนดราก้อนบอลไม่เพียงฮิตแต่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังโด่งดังไปทั่วโลกเนื้อเรื่องของดราก้อนบอลนั้นเกี่ยวกับการผจญภัยของซุนโกคูที่จะต้องรวบรวมลูกบอลดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูกแล้วจะไปขอพรกับเทพเจ้ามังกรลักษณะการดำเนินเรื่องในช่วงแรกนั้นจะเป็นการผสมระหว่างเรื่องไซอิ๋วกับซุปเปอร์แมน การ์ตูนเรื่องนี้นั้นดังถึงขนาดที่ว่าฮอลลีวูดเอามาทำเป็นหนังแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเราเนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับการล้อเลียนการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวมนุษย์เงินเดือนชาวญี่ปุ่นชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากใช้มาแล้วทั้งหมด 23 ปี
อันดับที่ 9 อิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา
การ์ตูนนี้เป็นเรื่องราวของสามเณรน้อยที่ชื่อว่าอิคคิวในนิกายเซน มีปัญญาฉลาดหลักแหลมในแต่ละตอนจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้อิคคิวต้องใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆให้ข้อคิดดีๆกับเด็กไทยมาอย่างยาวนาน
อันดับที่ 8 Slamdunk
เป็นการ์ตูนที่เกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลตัวเอกมีชื่อว่าซากุระงิ ฮานามิจิ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกผู้หญิงหักอกมาแล้วกว่า 50 ครั้งในช่วงที่การ์ตูนสแลมดั้งพีคๆ นั้นเด็กผู้ชายหลายคนหันมาเล่นกีฬาบาสเกตบอลกันแทบจะทำโรงเรียนกันเลยทีเดียว
อันดับที่ 7 วันพีซ
เรื่องราวของการตามล่าหาสมบัติวันพีซของเหล่าโจรสลัด ผู้ที่ได้มาครอบครองนั้นจะได้เป็นเจ้าแห่งโจรสลัดถือเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของญี่ปุ่น จุดเด่นที่ผู้ว่าได้สร้างสรรค์การผจญภัยของโจรสลัด มิตรภาพของผองเพื่อน คาแร็กเตอร์ต่างๆ ของตัวละครในการ์ตูนที่มีความหลากหลาย และยังมีความสามารถพิเศษต่างๆ ที่เกิดจากการกินผลปิศาจ ทำให้การต่อสู้กันของเหล่าโจรสลัดมีความสนุกเข้มข้นขึ้น
อันดับที่ 6 เซเลอร์มูน
เรื่องราวการต่อสู้กับเหล่าร้ายของอัศวินสาวสวยแห่งดาวในระบบสุริยะแถมยังมีเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์กับอัศวินหนุ่มลึกลับและความตลกของตัวร้ายที่เรียกได้ว่ามากันทุกเพศทุกวัยไคลแม็กซ์นั้นก็คงจะอยู่ที่ท่าทางการแปลงร่างของเหล่าเจ้าหญิง
อันดับที่ 5 นักซิ่งสายฟ้า
การ์ตูนนี้เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องนักแข่งรถทามิย่าที่เรียกได้ว่าในยุคนั้นฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเด็กๆล้วนแต่ใฝ่ฝันอยากจะมีรถทามิย่าเป็นของตัวเอง
อันดับที่ 4 ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
เริ่มต้นเรื่องด้วยการที่เด็กหนุ่มที่ชื่อโคนัน นักสืบอัจฉริยะม.ปลายถูกตัวร้ายกรอกยาพิษทำให้กลายร่างเป็นเด็ก 7 ขวบ โคนันได้คอยแก้ไขปริศนาคดีฆาตกรรมต่างๆ ด้วยการแปลงเสียงแล้วให้นักสืบโมริโกโกโร่เป็นหุ่นเชิด เรียกได้ว่าถ้ามีโคนันที่ไหนที่นั่นก็จะมีคนตายเกิดขึ้นเสมอ
อันดับที่ 3 กัปตันซึบาสะ
เรื่องของเด็กชายที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลระดับโลกได้รับการสนับสนุนในด้านเนื้อเรื่องจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นทำให้เด็กๆชาวญี่ปุ่นหันมาสนใจกีฬาฟุตบอลกันมากขึ้น วิชาการเตะบอลแบบเว่อร์ๆ ให้ได้สนุกขำๆกัน
อันดับที่ 2 Doraemon
การ์ตูนโปรดของใครๆหลายคนเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์แมวหูด้วนตัวสีฟ้าที่มาจากอนาคตเพื่อกลับมาช่วยเหลือโนบิตะเด็กประถมจอมขี้เกียจโดบิตะจะชอบไหว้วานให้โดเรม่อนเอาสิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคตมาช่วยเหลือ จุดเด่นของเรื่องก็คือการจินตนาการของวิเศษในแต่ละตอนซึ่งมันล้ำมากๆแถมยังเอามาสอดแทรกในเนื้อเรื่องและแฝงแง่คิดสอนเด็กๆด้วยไปในตัว
อันดับที่ 1 ดราก้อนบอล
แล้วเราก็มาถึงอันดับที่ 1 ในการจัดอันดับการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตในตำนานซึ่งจะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้เลย การ์ตูนดราก้อนบอลไม่เพียงฮิตแต่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังโด่งดังไปทั่วโลกเนื้อเรื่องของดราก้อนบอลนั้นเกี่ยวกับการผจญภัยของซุนโกคูที่จะต้องรวบรวมลูกบอลดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูกแล้วจะไปขอพรกับเทพเจ้ามังกรลักษณะการดำเนินเรื่องในช่วงแรกนั้นจะเป็นการผสมระหว่างเรื่องไซอิ๋วกับซุปเปอร์แมน การ์ตูนเรื่องนี้นั้นดังถึงขนาดที่ว่าฮอลลีวูดเอามาทำเป็นหนังแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)